วิจิตรา ยึดพื้นที่โซนตะวันออก 3 จังหวัด “สมุทรปราการ-ชลบุรี-ฉะเชิงเทรา” ขึ้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง หลังตุนที่ดินต้นทุนต่ำไว้มาก พัฒนาโครงการได้นาน 10-20 ปี ขณะที่ดิน 12 ไร่บนถนนบางนา-ตราด เล็งขึ้นโครงการมิกซ์ยูส 2,000 ล้านปีหน้า หลังไชน่า ซิตี้ – อีเกีย ขึ้นโครงการแล้วเสร็จ ส่วนปี 54 วางเป้ายอดโอนสร้างรายได้ 350 ล้าน นายสืบวงษ์ สุขะมงคล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วิจิตรา กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงทิศทางธุรกิจว่า ในไตรมาส 2 นี้บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการมารวย สระแก้ว จ.สระแก้ว อีก 1 โครงการมูลค่า 200 ล้านบาท บนเนื้อที่ 23 ไร่ เป็นรูปแบบบ้านเดี่ยว จำนวน 114 ยูนิต ระดับราคา 1.75 ล้านบาทและราคา 1.95 ล้านบาท จากช่วงไตรมาสแรก ที่ได้เปิดโครงการ มารวย โสธร จ.ฉะเชิงเทรา
โครงการบ้านเดี่ยวบนเนื้อที่ 31 ไร่ จำนวน 132 ยูนิต มูลค่า 320 ล้านบาทไปแล้ว ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 50% ส่วนโครงการปัจจุบันที่ยังเปิดขายโครงการอยู่ ประกอบด้วย โครงการรอยัล สามมุขธานี จ.ชลบุรี บ้านเดี่ยวบนเนื้อที่ 17 ไร่ จำนวน 31 ยูนิต ขายระดับราคา 8-30 ล้านบาท มูลค่า 519 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 30% โครงการวิจิตรา ธานี มีบ้านสร้างเสร็จพร้อมขาย จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์มูลค่า 350 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเป็นยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ โดยส่วนหนึ่งเป็นยอดโอนจากโครงการมารวย-บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา มูลค่าโครงการ 123 ล้านบาท จำนวน 61 ยูนิต บนเนื้อที่ 5 ไร่ ที่จะโอนในปีนี้ 50% “ในเบื้องต้นบริษัทพัฒนาโครงการในไตรมาส 2 อีกหนึ่งโครงการ และขายโครงการที่ยังไม่มีสินค้าอยู่ ส่วนโครงการที่เป็นลักษณะมิกซ์ยูสที่ประกอบด้วยโรงแรม
เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ สำนักงานให้เช่า และคอนโดมิเนียมนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และดูแผนการพัฒนาโครงการที่จะเกิดขึ้นบนถนนบางนา-ตราดก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวโครงการไชน่าซิตี้ โครงการเมกะบางนา ร้านขายเฟอร์นิเจอร์ไอเกีย เพราะบริษัทจะรอดูจังหวะโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งแผนการพัฒนาน่าจะเป็นในปีหน้า โดยมูลค่าการพัฒนาโครงการคงจะมีไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีที่ดินติดถนนบางนา-ตราด กม.8 พื้นที่ประมาณ 12 ไร่” นายสืบวงษ์ กล่าวและว่า ส่วนการพัฒนาโครงการของบริษัทนั้น ยังคงยึดโซนภาคตะวันออก ใน 3 จังหวัดหลัก ได้แก่
จ.ฉะเชิงเทรา จ.สมุทรปราการ และจ.ชลบุรี เนื่องจากบริษัทมีที่ดินสะสมไว้เป็นจำนวนมากรองรับการพัฒนาได้อีก 10-20 ปี ส่วนในกรุงเทพฯ บริษัทยังไม่มีแผนการพัฒนา เนื่องจากภาวะการแข่งขันสูง ประกอบกับที่ดินมีราคาสูงทำให้ยากต่อการพัฒนา นอกจากนี้บริษัทก็ยังคงเน้นการพัฒนาโครงการในแนวราบเป็นหลัก เพราะความเสี่ยงไม่สูงเท่ากับโครงการคอนโดมิเนียม และกลุ่มลูกค้าเป็น
ผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่มีกลุ่มนักลงทุนหรือเก็งกำไร นายสืบวงษ์ กล่าวอีกว่า ตลาด
อสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมายังถือว่าเติบโตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านระดับราคา 1-3 ล้านบาทที่ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับบ้านที่มีราคาสูงกว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย ส่วนแนวโน้มตลาดช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่ายังจะสามารถเติบโตได้ตามความต้องการของผู้บริโภค ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่าจะยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับผู้ที่จะซื้อบ้าน เพราะเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยยังจะเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และต้นทุนการก่อสร้างก็อาจจะปรับเพิ่มขึ้นได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะยังคงไม่ปรับราคา
ขายบ้าน เนื่องจากจะส่งผลให้ยอดขายลดลงได้ จึงย่อมที่จะมีกำไรลดลงแต่ยอดขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,627 17-20 เมษายน พ.ศ. 2554