ในทันที!ที่มีความชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลใหม่ ซึ่งมี ‘น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ก็ตามมาด้วยเสียงทวงถามจากประชาชน ถึงมาตรการที่’พรรคเพื่อไทย’ในฐานะแกนนำรัฐบาลเคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียง ซึ่งนายกฯหญิงออกมายืนยันเดินหน้ามาตรการตามที่หาเสียงไว้ altแม้ยังไม่ชัดเจนว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่จะออกมาในรูปแบบใด มีผลในทางปฏิบัติส่งตรงถึงภาคธุรกิจและประชาขนเมื่อไร แต่หลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา 24 ส.ค.นี้ แล้ว เป็นที่คาดการณ์ว่าในช่วงเวลาที่เหลืออีก 5 เดือนของปี2554 นี้ รัฐบาลใหม่จะทะยอยประกาศมาตรการต่างๆออกมา ‘แก้ข้อครหา’ ที่เคยถูกวิจารณ์ไว้ว่า มาตรการที่ประกาศนั้น ‘ทำไม่ได้’ แต่เป็นแค่ ‘เทคนิค’ การหาเสียง !!!! โดยเฉพาะนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท และปรับเงินเดือนปริญญาตรีเป็น 15,000 บาทต่อเดือน ถูกวิพากษ์วิจารณ์เยอะถึงผลกระทบที่จะตามมาหากบริหารจัดการไม่ดี แต่รัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์’ ยืนยัน ‘ทำแน่’ อีกหนึ่งในมาตรการที่ผู้บริโภคคาดหวัง และเริ่มมีเสียงเรียกร้องดังขึ้น ๆ คือ การสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผ่านมาตรการกระตุ้น ‘ภาคอสังหาริมทรัพย์’ ซึ่งถือเป็นภาคที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีประมาณ 6 % ถึงไม่มากแต่การกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์มีผลเชื่อมโยงไปสู่ภาคธุรกิจอื่นๆ ที่สำคัญภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในดัชนีที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจไทย มาตรการภาคอสังหาริมทรัพย์ที่พรรคเพื่อไทยเคยประกาศนโยบายหาเสียงไว้ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การลดค่าธรรมเนียมการโอนที่อยู่อาศัย 2.การเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรกจากปีละไม่เกิน100,000 บาท เป็น 500,000 บาท และ3. อัตราดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในราคาไม่เกิน4 ล้านบาท ****รอมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ลูกค้าชะลอโอน-ผู้ประกอบการรอลงทุนโครงการ เชื่อว่าในเร็วๆนี้ รัฐบาลใหม่จะออกมาตรการใดมาตรการหนึ่งเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ออกมา เพื่อรักษาความสามารถในการผ่อนชำระของกู้ที่ที่ดูจะชะลอลงในครึ่งปีหลัง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น การปรับขึ้นของราคาบ้าน มองเลยไปถึงปีหน้า (ปี 2555) ราคาประเมินที่ดินใหม่ซึ่งมีผล 1 มกราคม 2555 ทั่วประเทศ เป็นอีกปัจจัยที่กระทบต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ กำลังซื้อ และวงเงินกู้ที่ลูกค้าจะได้รับจากแบงก์ ล่าสุด ผู้ประกอบการโครงการ ออกมาส่งสัญญาณว่า ลูกค้าชะลอการโอนบ้าน ชะลอการตัดสินใจซื้อ เพราะรอมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์จากรัฐบาลใหม่ ‘ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์’ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS altเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นว่า รัฐบาลต้องเร่งสร้างความชัดเจนในมาตรการต่างๆ เพราะปัญหาที่จะตามมาหลังรัฐบาลใหม่เริ่มทำตามนโยบายหาเสียง คือ มาตรการสนับสนุนบ้านหลังแรก ดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี และปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้มีลูกค้าชะลอการโอนบ้านประมาณ 20% นอกจากนี้แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาโครงการ
คอนโดมิเนียมก็ต้องชะลอการลงทุนหรือวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ออกไป เพราะไม่สามารถคำนวณ หรือวางแผนธุรกิจได้ เพราะไม่รู้ว่าต้นทุนอยู่ที่ไหน “ปัจจัยเสี่ยงในครึ่งหลังปีนี้ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯมาจากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาที่อยู่อาศัยในปีหน้า คาดว่าจะปรับขึ้นราว 10% และมาตรการดอกเบี้ย 0% สำหรับการซื้อบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 4 ล้านบาทซึ่งยังไม่มีความชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคชะลอตัดสินใจซื้อบ้านเพื่อรอดูมาตรการดังกล่าว” นายทองมา กล่าว สอดรับกับความเห็นของ รุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง’ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซื่อตรงกรุ๊ปจำกัด ผู้พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรภายใต้แบรนด์ “ซื่อตรง” ที่เห็นว่า รัฐบาลควรเร่งออกมาตรการโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อและโอนนานเกินไป อย่างไรก็ตาม หากมองประโยชน์ที่แต่ละกลุ่มจะได้รับจากมาตรการอสังหาฯดังกล่าว เป็นที่สังเกตว่า ไม่ว่าจะออกมาตรการใด ‘ผู้ประกอบการ’ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น ขณะที่ผู้กู้ซื้อบ้านแม้ได้อานิสงส์จากมาตรการใด เช่น ยกเว้นภาษี หรือ อัตราดอกเบี้ย 0 % แต่ยังต้องเผชิญปัจจัยลบอีกหลายเรื่อง เช่น ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ฯลฯ มีผลต่อภาระผ่อนเพิ่มขึ้น และวงเงินกู้ที่น้อยลงกว่าเดิม alt“กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล” ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เสนอแนะว่า รัฐบาลควรมองปัญหาที่แท้จริงของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัย เนื่องจากนโยบายผ่อนบ้าน 0% ไม่ว่าจะนานเท่าใด เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการมากกว่าผู้ซื้อบ้าน ดังนั้นนโยบายที่รัฐบาลสมควรจะทำน่าจะเป็นการออกมาตรการช่วยเหลือเรื่องเงินดาวน์มากกว่า เช่น การนำเงินดาวน์ไปลดภาษีได้ เป็นต้น ****ปัจจัยบวก-ลบต่อตลาดสินเชื่อบ้าน5 เดือนที่เหลือ ในขณะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลัง ได้ปัจจัยบวกจากสถานการณ์การเมืองที่เริ่มนิ่ง การเข้ามาของรัฐบาลใหม่ ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่มองในแง่ของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแล้ว ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจซื้อเยอะกว่าครึ่งแแรก ผู้กู้อาจได้บ้านหลังเล็กลง และวงเงินกู้ที่น้อยลง เนื่องจากดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งนับตั้งแต่ต้นปีดอกเบี้ยเงินกู้ปรับขึ้นไปแล้ว 1 % อีกหนึ่งปัจจัยที่จะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ คือ การปรับราคาบ้าน ซึ่งผู้ประกอบการประสานเสียงปรับขึ้นราคาบ้านตามต้นทนที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าวัสดุก่อสร้าง แนวโน้มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่กำลังจะปรับขึ้น โดยยอมรับว่าขณะนี้เริ่มเห็นการปรับขึ้นราคาไปแล้วตั้งแต่5 -10 % ในบางโครงการ ขณะที่ในปีหน้าจะเห็นการปรับราคาบ้านขึ้นอีกเฉลี่ยในระดับไม่น้อยไปกว่าปีนี้ รวมไปถึง ปัจจัย ‘ราคาประเมินที่ดิน’ ที่จะมีผล 1 ม.ค. 2555 ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 10-50 % คาดว่ามีผลให้ผู้ซื้อจะต้องจ่ายเพิ่มสำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยในบางประเภทเช่นกัน โดยเฉพาะ ห้องชุดที่ตั้งอยู่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าใต้ดินและลอยฟ้า เนื่องจากราคาที่ดินใกล้ระบบเหล่านี้เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดตลา เช่น
คอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าอยู่ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท “ราคาประเมินที่ดินและอาคารชุด 2555 ทั่วประเทศ ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย15% โดยในพื้นที่ กทม.อัตราการเพิ่มขึ้น 15-30% ส่วนในแนวการก่อสร้างและขยายเส้นทางรถไฟฟ้ามีการปรับขึ้นมากที่สุดคือ 50% ส่วนราคาประเมินทุนทรัพย์ที่อยู่อาศัยประเภทห้องชุด การปรับราคาขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง พื้นที่ กทม.มีการปรับประมาณ 15% โดยบริเวณที่มีราคาประเมินสูง เช่น ถนนสีลม ถนนเพลินจิต ฯลฯ นอกจากนี้ที่ดินบริเวณแนวรถไฟฟ้าทั้งสายเก่าและสายใหม่ ราคาที่ดินปรับขึ้นเฉลี่ย 50%” ชูชีพ จิตร์อำไพ ผู้อำนวยการสำนักประเมินราคาทรัพย์สิน กรมธนารักษ์กล่าว ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และห้องชุดในกทม.ครึ่งปีแรก ดัชนีราคา ครึ่งแรกปี 2554 (เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน) เทียบครึ่งหลังของปี 2553 -ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว เพิ่มขึ้น 1.79% เพิ่มขึ้น 1.03% -ดัชนีราคาทาวน์เฮาส์สูง 2 ชั้น และ 3 เพิ่มขึ้น 3.55% เพิ่มขึ้น 0.98% -ดัชนีราคาห้องชุด เพิ่มขึ้น 7.04% เพิ่มขึ้น 2.82% alt ‘วิบูล จันทรดิลกรัตน์’ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า สถานการณ์ช่วงนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับทราบแล้วว่า ราคาบ้านมีแนวโน้มในการปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน หลังจากเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าทั้งค่าแรง และวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยบริษัทรับสร้างบ้านส่วนใหญ่จะทยอยปรับราคาบ้านเพิ่มขึ้นราว 8-15% altสอดรับความเห็น ผู้บริหาร บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ‘ไชยยันต์ ชาครกุล’ ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า มีแผนปรับราคา
ขายบ้าน หลังจากเดือนสิงหาคมไปจนถึงสิ้นปี 2554 อีก 5-7% โดยช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.ปรับขึ้นแล้ว 3-5% ในบางโครงการ เนื่องจากต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้น ***ทริสฯเตือนหากเงินเฟ้อ6%-ดบ.พุ่งกระทบ
อสังหาฯถดถอย นอกจากปัจจัยดอกเบี้ย ราคาบ้าน และราคาที่ดิน ซึ่งเป็นอุปสรรคของผู้กู้แล้ว นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เป็นตัวเร่งที่มีผลต่อผู้กู้ที่ต้องการซื้อบ้าน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประเมินไว้ว่า ไม่กี่เดือนข้างหน้ารัฐบาลใหม่อาจประกาศใช้นโยบาย 2 ประการ ที่มีผลเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
อสังหาริมทรัพย์ นโยบายประการแรก เกี่ยวกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปลอดดอกเบี้ยนั้น จะเป็นปัจจัยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยได้เพียงในระยะสั้น ส่วนนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนค่าก่อสร้าง โดยคาดว่าต้นทุนก่อสร้างจะปรับสูงขึ้น 2-5% ทั้งนี้ ในระยะปานกลางผู้ประกอบการน่าจะสามารถปรับรูปแบบสินค้าและราคาให้สอดคล้องกับค่าแรงที่สูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะไม่ส่งผลกระทบในทางลบต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ทรัสฯ ตั้งประเด็น หากเงินเฟ้อทั่วไปปรับเพิ่มขึ้นเกินกว่า 6% ประกอบกับนโยบายการเงินที่มีความเข้มงวดมากขึ้น เชื่อว่าโอกาสที่
อสังหาริมทรัพย์จะเผชิญกับภาวะถดถอยน่าจะมีความเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยราคาต่ำ alt‘พลพัฒ กรรณสูต’นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า โดยปกติงานรับเหมาก่อสร้างจะใช้แรงงานอยู่ที่ 20-30% ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน แต่จากการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ มีผลต่อต้นทุนการก่อสร้าง 6% เมื่อรวมกับการปรับขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง จะทำให้ต้นทุนของผู้รับเหมาก่อสร้างปรับขึ้นกว่า 10% ****ตลาดที่อยู่อาศัยครึ่งปีหลังคึกคักกว่าครึ่งปีแรก ท่ามกลางปัจจัยบวกและลบต่อตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในครึ่งหลังปีนี้จนถึงปีหน้า สำรวจความเห็นของผู้บริหารแบงพาณิชย์ส่วนใหญ่ เชื่อว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ดีกว่าครึ่งปีแรก แม้เป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นและราคาบ้านเริ่มปรับขึ้น altกูรูในวงการ
อสังหาริมทรัพย์ ‘ชาติชาย พยุหนาวีชัย’ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เชื่อว่า ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในครึ่งหลังของปีนี้ดีกว่าครึ่งปีแรก โดยคาดว่าทั้งระบบจะมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ 200,000 ล้านบาท สูงกว่าครึ่งปีแรกที่คาดว่าทั้งระบบมียอดปล่อยสินเชื่อใหม่ 180,000 บาท ‘ชาติชาย’ ยกประเด็นดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นซึ่งกระทบต่อผู้กู้ ให้เห็นว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นแล้วประมาณ 1.25% ส่งผลให้รายได้ของผู้กู้ต่อเดือนเพิ่มขึ้น 8.5-9% เพื่อที่จะได้รับอนุมัติสินเชื่อในวงเงินเท่าเดิม และหากรายได้ไม่เพิ่มขึ้นตาม ผู้กู้ต้องซื้อบ้านเล็กลงหรือราคาถูกลง ในขณะที่ภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าบางส่วนที่ขอเงินกู้จากธนาคาร ได้รับการอนุมัติวงเงินกู้น้อยลง แต่ธนาคารพยายามรักษาอัตราส่วนของลูกค้าในการอนุมัติเงินกู้ไว้ไม่ให้ลดลง หรือยอดปฏิเสธการอนุมัติเงินกู้ของธนาคารซึ่งเคยอยู่ที่ 30 % ไม่ได้เพิ่มขี้น เนื่องมาจากสาเหตุของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ถูกปฏิเสธการอนุมัติวงเงินกู้ ยังมาจากสาเหตุหลักคือ ผู้กู้มีภาระในการผ่อนชำระอย่างอื่นอยู่ก่อนแล้วมากกว่า” ชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทยกล่าว จากผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ล่าสุดเมื่อ 13 ก.ค.54 กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% นับเป็นครั้งที่ 5 ตั้งแต่ต้นปี2554 รวมตั้งแต่ต้นปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้นจาก 2.00 % เป็น 3.25% แล้ว หรือปรับขึ้นแล้ว 1.25 % ในช่วง 6 เดือน ซึ่งหลังจากนี้ยังเหลือการประชุมกนง.อีก 3 ครั้งก่อนสิ้นปี 2554 โดยที่กนง.ยังส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ในทิศทางเดียวกันนั้น ต้นปี2554จนถึงปัจจุบัน แบงก์พาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว 0.75 -1 % โดยเอ็มแอลอาร์ของ 4 แบงก์ใหญ่ (กรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์) ปรับจาก 6.120-6.500% เป็น6.875-7.250 และเอ็มอาร์อาร์ ปรับจาก 6.625-7.000% เป็น 7.625-8.000 % ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยปรับขึ้นตามไปแล้วเช่นกัน เนื่องจากอิงอยู่กับ MLR และ MRR “คาดว่าภาพรวมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของไทยพาณิชย์ ในปี 2554 นี้จะอยู่ที่ประมาณ 7.3-7.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 7% จากปีก่อนที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ทั้งสิ้นประมาณ 7 หมื่นล้านบาท โดย 6 เดือนแรกธนาคารปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ 4.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท และสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่ปล่อยสินเชื่อได้ 3.8-3.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบในปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 10-12% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตที่ระดับ 7-8%” นางพิกุล ศรีมหันต์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าว ด้าน’สัมมา คีตสิน’ ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูล
อสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า altคาดว่าในช่วงปลายปีนี้ ราคาบ้านมีโอกาสปรับขึ้นแรง เพราะจากการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการพบว่าส่วนใหญ่เชื่อว่า ในปลายปีนี้ตลาดที่อยู่อาศัยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้น สรุปยอดรวมที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่เขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 5 จังหวัด ช่วง5เดือนปีนี้เทียบปีก่อน ยอดรวม 31,089 หน่วย ลดลงจากปีก่อน 28% (5 เดือนปีก่อน 43,276 หน่วย) บ้านเดี่ยว สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ 13,245 หน่วย เพิ่มขึ้น 13% (ปีก่อน11,769 หน่วย) อาคารชุด สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ 11,578 หน่วย ลดลง 54% (ปีก่อน 25,245 หน่วย) ทาวน์เฮาส์ สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ 4,202 หน่วย ลดลง19% (ปีก่อน 5,182หน่วย ) อาคารพาณิชย์ สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ 1,262 หน่วย เพิ่มขึ้น 77% (ปีก่อน 713 หน่วย) บ้านแฝด สร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ 802 หน่วย เพิ่มขึ้น 119% (ปีก่อน 367 หน่วย) ศูนย์ข้อมูล
อสังหาริมทรัพย์ ระบุ สถานการณ์การเปิดขายโครงการใหม่น่าจะดีขึ้นในเดือนสิงหาคม และสถานการณ์การขายทั้งโครงการใหม่และโครงการเดิมอาจกระเตื้องขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของเดือนสิงหาคม หากภายหลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้วมีเสียงตอบรับที่ดี ขณะที่ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมจะมีการจัดงานมหกรรมบ้านรายการใหญ่ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ต่อเนื่องด้วยงานมหกรรมบ้านอีกหนึ่งรายการใหญ่ซึ่งจะจัดในช่วงต่อเนื่องปลายเดือนกันยายน-ต้นเดือนตุลาคม ณ สถานที่เดียวกัน นอกจากนั้น ตลาดต้องรอดูความชัดเจนเรื่องมาตรการ
อสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐด้วย ****แบงก์สาดแคมเปญปล่อยกู้ซื้อบ้านดึงลูกค้า ท่ามกลางปัจจัยลบครึ่งหลังปีนี้ไปจนถึงปีหน้า แต่ความคึกคักในตลาดที่อยู่อาศัยครึ่งหลังของปีนี้ สะท้อนผ่านกลยุทธ์การตลาด ซึ่งจะได้เห็นแบงก์พาณิชย์และผู้ประกอบการโครงการ จับมือฟาดกลยุทธ์ใส่คู่แข่ง ทั้งกลยุทธ์ดอกเบี้ย 0 %, ผ่อนนาน , ลุ้นของรางวัล ฯลฯ ซึ่งมีทั้งแคมเปญสั้นและยาว ยกตัวอย่าง แบงก์กรุงเทพออกแคมเปญยาวตั้งแต่ต้นปี 2554 ไปจนถึงปลายปี ขณะที่แบงก์กสิกรไทย และไทยพาณิชย์ เน้นแคมเปญกระตุ้นสินเชื่อบ้านที่ออกมาเป็นช่วงๆ โดยล่าสุด แบงก์ไทยพาณิชย์ ออกแคมเปญพิเศษดอกเบี้ย 0 % ใน 3 ปีสุดท้าย “0% 3 ปี ฟรีค่าจำนอง” ผู้ใช้บริการสินเชื่อบ้านกับไทยพาณิชย์ ที่ผ่อนชำระครบตามอายุสัญญา รับอัตราดอกเบี้ย 0% ในช่วง 3 ปี สุดท้าย และรับสิทธิ์ฟรีค่าจดจำนอง 1% เมื่อเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (MRR) altแบงก์ทหารไทย ออกสินเชื่อบ้าน ทีเอ็มบี” กู้ซื้อบ้านหลังแรก อัตราดอกเบี้ยพิเศษตลอด 3 ปีแรก โดยคิดดอกเบี้ย 0% 9 เดือนแรก เดือนที่ 10 – สิ้นปีที่ 3 MLR-2.25% และปีที่ 4 เป็นต้นไป MLR-0.50% หรือคิดเป็นในอัตราเฉลี่ยใน 3 ปีแรกที่ 3.94% โดยมีเงื่อนไจว่าลูกค้าสมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) . สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติ ผ่านบัญชีออมทรัพย์ TMB และ สมัครใช้บริการบัตรเดบิต TMB ‘มิฮาล ซูเรค’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มลูกค้ารายย่อย ธนาคารทหารไทย แนะนำว่า ธนาคารอยากให้ลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยได้ศึกษาอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน และข้อเสนอที่จะได้รับจากธนาคารต่างๆ ก่อน โดยเฉพาะการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับในช่วง 3 ปีแรก ไม่อยากให้ดูเฉพาะดอกเบี้ยในช่วง 1 ปีแรกเท่านั้น รวมทั้งดูว่ามีค่าธรรมเนียมการกู้อื่นๆ และค่าประเมินหลักทรัพย์ด้วยหรือไม่ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย สำรวจแคมเปญพิเศษปล่อยกู้ให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย สถาบัน/บริษัท
อสังหาริมทรัพย์ รายละเอียดของแคมเปญ แบงก์กรุงเทพ แคมเปญ‘ กู้บ้านได้รถ ’ สำหรับลูกค้าสินเชื่อเพื่อซื้อ/ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และสินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์ ที่มียอดเบิกใช้สินเชื่อพร้อมทำประกันคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ในวงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 โดยวงเงินสินเชื่อทุก 1 ล้านบาทจะได้รับ 1 สิทธิในการลุ้นรางวัล สำหรับของรางวัลประกอบด้วย -รางวัลที่ 1 รถยนต์ นิสสัน มาร์ช รุ่น 1.2 E CVT มูลค่า 459,000 บาท จำนวน 2 คัน ครั้งละ 1 คัน -รางวัลที่ 2 โฮมเธียเตอร์ Samsung รุ่น HT-C5530W มูลค่า 26,900 บาท จำนวน 6 ชุด ครั้งละ 3 ชุด -รางวัลที่ 3 กล้องดิจิตอล Sony รุ่น DSC-W380 มูลค่า 9,990 บาท จำนวน 10 รางวัล ครั้งละ 5 รางวัล โดยการจับรางวัลจะมีขึ้น 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 ในวันที่ 1 กันยายน 2554 สำหรับลูกค้าที่จดจำนองสินเชื่อและได้รับอนุมัติกรมธรรม์ประกันชีวิตระหว่างวันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2554 และครั้งที่ 2 ในวันที่ 16 มกราคม 2554 สำหรับลูกค้าที่จดจำนองสินเชื่อและได้รับอนุมัติกรมธรรม์ประกันชีวิตระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 แบงก์ไทยพาณิชย์ แคมเปญ “CMC Midyear Bonus” มอบข้อเสนอพิเศษที่ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการเข้าอยู่อาศัยทันที กับลูกค้าที่ไม่รีบเข้าอยู่อาศัย โดยโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ จะมอบข้อเสนอพิเศษ “ผ่อนสบาย 0% นาน 3 ปี พร้อมรับ ลด ลุ้น กว่า 500,000 บาท” สำหรับโครงการระหว่างก่อสร้าง มอบข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าบัตรเครดิต SCB “รับ Extra Point 80 เท่า และผ่อน 0% นาน 6 เดือน สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าบัตรเครดิต SCB พร้อม รับ ลด ลุ้น กว่า 500,000 บาท” แคมเปญดังกล่าวจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้ แบงก์ไทยพาณิชย์ แคมเปญพิเศษ “0% 3 ปี ฟรีค่าจำนอง” ผู้ใช้บริการสินเชื่อบ้านกับไทยพาณิชย์ ที่ผ่อนชำระครบตามอายุสัญญา รับอัตราดอกเบี้ย 0% ในช่วง 3 ปี สุดท้าย และรับสิทธิ์ฟรีค่าจดจำนอง 1% เมื่อเลือกใช้อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (MRR) พร้อมบริการประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินกู้ (Credit Lift) ตามเงื่อนไขธนาคาร ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2554 สอบถามเพิ่มเติม 02-777-7777 AP จับมือแบงก์ไทยพาณิชย์ แคมเปญ “Amazing 7” เลข 7 มหัศจรรย์ เล็งตอบโจทย์ความต้องการแบบม้วนเดียวจบ ทั้งที่สุดของ 7 ทำเลศักยภาพใน 3 โซนอย่างลาดพร้าว ศรีนครินทร์ สาทร-ราชพฤกษ์ 7 ข้อเสนอการเงินจาก SCB และ 7 ของแถมจากโครงการ วันนี้ถึง 31 สิงหาคมนี้เท่านั้น 1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0% นาน 12 เดือน 2) ฟรี ค่าจดจำนอง 1% 3) รับเพิ่มประกันอุบัติเหตุ PA วงเงินกู้ 1.0-3.99 ล้านบาท ทุนประกัน 100,000 บาท และวงเงินกู้ 4 ล้านบาทขึ้นไปทุนประกัน 300,000 บาท 4) ฟรี ค่าประเมินหลักประกัน 5) ฟรี ค่าธรรมเนียมสินเชื่อ 0.25% ของวงเงินกู้ 6) ฟรี ของสมนาคุณกระเป๋าล้อลาก 7) ฟรี การ์ดเติมน้ำมัน วงเงินกู้ 1.0-3.99 ล้านบาท รับมูลค่า 1,500 บาท และวงเงินกู้ 4 ล้านบาท รับมูลค่า 3,000 บาท แบงก์ทหารไทย “สินเชื่อบ้าน ทีเอ็มบี” กู้ซื้อบ้านหลังแรก อัตราดอกเบี้ยพิเศษตลอด 3 ปีแรก โดยคิดดอกเบี้ย 0% 9 เดือนแรก เดือนที่ 10 – สิ้นปีที่ 3 MLR-2.25% และปีที่ 4 เป็นต้นไป MLR-0.50% หรือคิดเป็นในอัตราเฉลี่ยใน 3 ปีแรกที่ 3.94% โดยมีเงื่อนไจว่าลูกค้าสมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) . สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติ ผ่านบัญชีออมทรัพย์ TMB และ สมัครใช้บริการบัตรเดบิต TMB แบงก์ธนชาตและนครหลวงไทย แคมเปญ “สินเชื่อบ้านผ่อนสบาย รีไฟแนนซ์” ให้ดอกเบี้ยพิเศษ 0% นาน 6 เดือน กู้ได้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ให้วงเงินกู้สูงสุด 95% นานสูงสุด 30 ปี ฟรีค่าจดจำนองเมื่อซื้อ ประกันชีวิตคุ้มครองเงินกู้ แคมเปญเริ่มตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2554 และจดจำนองภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ธนชาตและนครหลวงไทย ร่วมกับพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ร่วมกับพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ออกแคมเปญ “Perfect Worry Free” เพื่อลดภาระให้กับผู้ซื้อบ้าน ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 1% 2 ปี กู้ได้ เต็ม 100% ผ่อนนานสูงสุด 40 ปี เริ่มต้นผ่อนเฉลี่ยเพียงล้านละ 3,000 บาทต่อเดือน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ อัตราดอกเบี้ย 0 % นาน 5 ปี สำหรับบ้านหลังแรก วงเงินกู้ไม่เกิน 4 ล้านบาท (สนองนโยบายของรัฐบาลใหม่ รอกระทรวงการคลังพิจารณา) AP จับมือ แบงก์กสิกรไทย APและแบงก์กสิกรไทย แคมเปญ “Key Privilege by AP” 1) เงินต้นปีแรก = 0 บาท ซึ่งเป็นแนวคิดที่บริษัทฯ ต้องการช่วยลูกค้าลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงปีแรก โดยลูกค้าสามารถนำเงินต้นที่ต้องผ่อนจ่ายในแต่ละเดือนในช่วงปีแรกนั้นไปจัด เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการย้ายเข้าอยู่ในช่วงแรก โดยการผ่อนจ่ายจะเริ่มในปีที่ 2 จนถึงอายุสัญญากู้ของลูกค้าในอัตราดอกเบี้ย MLR-1.11% หรือลูกค้ามีความประสงค์จะผ่อนจ่ายสามารถเลือกรับสิทธิดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน ก็ได้ ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยที่พิเศษที่สุดในตลาด ณ เวลานี้ 2) ฟรีค่าประเมินสินเชื่อ 0.25% และค่าประเมินราคาหลักประกัน 3) ฟรี เครื่องใช้ไฟฟ้าตามวงเงินกู้ 4) ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน 5) ฟรีค่าทำสัญญา 6) ฟรีค่าจดจำนอง 7) ฟรีค่าส่วนกลาง นาน 2 ปี และ 8) ฟรีค่าประกันมิเตอร์น้ำไฟ รวมมูลค่าข้อเสนอสูงสุด 500,000 บาท สำหรับบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ 8 โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญนี้ ได้แก่ The Centro 5 ทำเล วัชรพล รามอินทรา รัตนาธิ-เบศร์ อ่อนนุช-วงแหวน และสุขุมวิท 113 ราคา 5-10 ล้านบาท The City พระราม 5-ราชพฤกษ์ 2 ราคา 8-10 ล้าน-บาท และ The Palazzo 2 ทำเล สาทร และสุขสวัสดิ์-พระราม 3 ราคา 15-30 ล้านบาท โดยแคมเปญนี้สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายนนี้ จากสถิติข้อมูลที่ผ่านมา สะท้อนว่ามาตรการยกเว้นภาษีการโอน ฯในการซื้อที่อยู่อาศัย มีส่วนเร่งการตัดสินใจซื้อของผู้กู้ “ทริสเรทติ้ง ” ระบุถึงความต้องการที่อยู่อาศัยว่า ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยปกติภาครัฐมักให้การสนับสนุนอุตสาหกรรม
อสังหาริมทรัพย์ ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ตลาดที่อยู่อาศัยของไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากแรงกระตุ้นของมาตรการจูงใจด้านภาษีของภาครัฐในช่วงปี 2551-2553 และภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ในสภาวะทรงตัวตลอด ปี 2553 ขณะที่ การเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV Ratio) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2554 และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงวงจรขาขึ้น เป็นปัจจัยหลักที่คาดว่าจะชะลอความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการเก็งกำไรใน
ตลาดคอนโดมิเนียมลงและลดทอนความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ดังนั้น จึงคาดว่าอัตราการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้จะต่ำลงเมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายน่าจะแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ประกอบการรายเล็กเพราะผู้ประกอบการรายใหญ่พยายามเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจโดยการเข้าไปแข่งขันในตลาดที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่ต่ำลง สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นสาเหตุที่ทำให้การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งกว่าในอดีต แม้ภาพรวมของภาคอสังหาริมทรัพย์ขณะนี้ ยังไม่ถึงขั้นต้องมีมาตรการเร่งด่วนออกมากระตุ้น เมื่อเทียบกับความจำเป็นในการแก้ปัญหาค่าครองชีพ สินค้าแพง แต่ความคาดหวังของผู้กู้ที่อยากมีบ้านของตัวเอง ภายใต้แรงกดดดัน ดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ราคาบ้าน ฯฯลฯ ที่รออยู่ข้างหน้า ท่ามกลางเสียงจากผู้ประกอบการและผู้กู้ทวงสัญญาจากรัฐบาลใหม่ที่ต้องสร้างความชัดเจนในมาตรการสนับสนุน
อสังหาฯ ในเร็วๆนี้ !!!!! (เผยแพร่เมื่อ 15 สิงหาคม 2554)