ไตรมาส3 รายได้และกำไรของบิ๊กอสังหาฯ ทรุดตัวทั่วหน้า จากไตรมาส ที่ 2 เหตุไม่ได้เปิดโครงการใหม่และโอนสินค้าขายก่อนหน้าจำนวนมาก แต่ภาพรวม 10 บิ๊กดีเวลอปเปอร์ยังทำรายได้กว่า 20,000 ล้าน ทำกำไรได้กว่า 2,497 ล้าน “พฤกษา” ครองแชมป์ทำรายได้สูงสุดกว่า 3,7870.67 ล้านบาท ขณะที่ “แสนสิริ-แลนด์แอนด์เฮ้าส์-เอสซี” ทำกำไรเป็นบวกเติบโตกว่าไตรมาสก่อนหน้า “ฐานเศรษฐกิจ” ได้ทำการสำรวจผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ 10 บริษัท ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งพบว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 นี้โดยภาพรวมแล้วเติบโตลดลงจากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ทั้งทางด้านรายได้รวมและกำไรสุทธิ เหตุผลสำคัญเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก รัฐบาลมีมาตรการภาษีมากระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ทำให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้ซื้อต่างเร่งขายและเร่งโอนกรรมสิทธิ์ไปก่อนหน้า จนทำให้เกิดการชะลอตัวของธุรกิจ ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่มาอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้าย แต่อย่างไรก็ตาม รายได้ของ 10 บริษัทรายใหญ่ก็ยังมีมูลค่ากว่า 20,842.93 ล้านบาท แม้จะลดลงจากไตรมาสที่ 2 ที่มีรายได้รวมกว่า 28,125.33 ล้านบาท ลดลงในอัตรา 25.89% ขณะที่ทำกำไรรวมทั้งหมดได้กว่า 2,497.62 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า 34.90% ที่ทำกำไรได้ 3,836.76 ล้านบาท บริษัทที่ถือว่ายังมีรายได้รวมโดดเด่นเติบโตกว่าไตรมาสก่อนหน้ามากนัก ได้แก่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท เมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ขณะที่บริษัทที่ยังคงมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้น ได้แก่ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสซีเอสแสทฯ นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงไตรมาส 3 บริษัทสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมกว่า 6,959 ล้านบาท มียอดรับรู้รายได้รวมกว่า 3,473 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 248 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ก่อนหน้าที่ทำกำไรสุทธิ 238 ล้านบาท จากยอดรับรู้รายได้ 4,187 ล้านบาท และยอดขาย 4,800 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายในช่วงไตรมาสที่ 4/2553 (1 ต.ค. – 15 พ.ย.53) บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 7,400 ล้านบาทในระยะเวลาเพียง 1 เดือนครึ่งหรือคิดเป็นถึง 76% จากเป้าหมายยอดขาย ไตรมาสสุดท้ายที่ตั้งไว้ 9,600 ล้านบาท “บริษัทยังสามารถขายโครงการต่างๆได้ต่อเนื่อง และในช่วงไตรมาสที่ 2 บริษัทไม่ได้เร่งการขายการโอนกรรมสิทธิ์เหมือนผู้ประกอบการรายอื่นๆ ขณะที่ปัจจัยเรื่องการกำหนดสัดส่วนเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกันหรือ LTV เพิ่งประกาศในไตรมาสที่ 4 จึงไม่มีผลกับช่วงที่ผ่านมา และผลงานของไตรมาสที่ 3 เป็นเพราะบริษัททำผลดำเนินงานได้ดีมาโดยต่อเนื่อง” นายเศรษฐา กล่าวและว่า ไตรมาสสุดท้ายบริษัทจะทำตลาดในทุกเซ็กเมนต์ โดยจะเปิดการขายบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์จำนวน 24 ยูนิต ภายใต้ชื่อโครงการ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” ราคาเริ่มต้น 35 ล้านบาท ซึ่งบริษัท ซื้อคืนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บ้านแสนสิริ โดยหลังจากเปิดการขายอย่างไม่เป็นทางการในช่วงที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าโดยขณะนี้มียอดขายแล้วจำนวน 5 ยูนิต มูลค่าการขาย 178.5 ล้านบาท ด้านนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้แม้ว่ายอดจอง รายได้ และกำไรสุทธิของบริษัทจะต่ำกว่าไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา แต่ภาพรวมรอบ 9 เดือนบริษัท มียอดจองสูงถึง 30,173 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 101% จากยอดจอง 15,046 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีรายได้รวมสูงถึง 16,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วมูลค่า 11,287 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% ส่วนยอดจองปัจจุบันนั้นมีกว่า 30,173 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัททำรายได้ในไตรมาสที่ 3 ได้ 3,787.67 ล้านบาท ลดลง 36.28% จากไตรมาสที่ 2 ที่ทำได้ 5,943.80 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรทำได้ 359.19 ล้านบาท ลดลง 57.26% จากไตรมาสที่ 2 ที่ทำกำไรได้ 840.37 ล้านบาท นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงไตรมาสที่ 3 บริษัทมีรายได้รวม 1,262 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการดำเนินงาน 1,258 ล้านบาท รายได้หลักมาจากโครงการที่อยู่อาศัย 1,054 ล้านบาท และอาคารสำนักงานให้เช่า 204 ล้านบาท มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 261 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20.7% ของรายได้รวม และเมื่อเทียบผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี พบว่า บริษัท สามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 3,061 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 3,926 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 26%รายได้จากการดำเนินงาน 3,914 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 739 ล้านบาท เติบโต 40% ส่วนแหล่งข่าวจากบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 3 บริษัทมีรายได้รวม 2,2900 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 204.55 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นไตรมาสที่มีรายได้ต่ำสุดของปีนี้ เนื่องจากมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยไปก่อนหน้านี้จำนวนมาก ส่วนในไตรมาสสุดท้าย คาดว่าจะทำผลประกอบการได้ดีกว่าไตรมาสที่ 3 โดยจะมีการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมอย่างต่ำ 600 ล้านบาท ส่วนทั้งปีกำไรอาจจะทำได้ประมาณ 15-17% และรายได้อาจจะต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อยที่คาดว่าจะเติบโต 30% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายบริษัทจะมีผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ลดลง เนื่องจากสาเหตุสำคัญเรื่องของการเร่งขายและเร่งโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยไปจำนวนมากตั้งแต่ครึ่งปีแรก และการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่วางแผนเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็ทำให้เชื่อว่าผลประกอบการโดยรวมของปี 2553 ยังคงเติบโตตามเป้าหมายที่แต่ละบริษัทได้วางเอาไว้ โดยนายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 4/2553 น่าจะออกมาดีที่สุดของปีนี้ โดยบริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยจะมาจากยอดรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม 2-3 โครงการ ได้แก่ โครงการ ซิตี้ โฮม ท่าพระ, โครงการศุภาลัย พรีเมียร์ รัชดาฯ-นราธิวาส-สาทร และโครงการศุภาลัย ปาร์ค เกษตร นอกจากนี้ ยังจะมีการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการแนวราบ ทั้งที่เป็นบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์อีกประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่ารายได้รวมปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 11,000 ล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 9,690.48 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) ประมาณ 19,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในช่วง 4 ปี และยังจะมี Backlog ใหม่เข้ามาเพิ่มเติมอีก ซึ่งน่าจะส่งผลทำให้บริษัทมียอดขาย Backlog ในอนาคตเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,585 21-24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553