ราคาอะลูมิเนียมในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่กลางปี 2553 ได้รับการคาดหมายว่าจะยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้ สืบเนื่องจากอานิสงส์ของตลาดปลายทางที่สำคัญอย่างอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องบินและการสร้างบ้าน มีการเติบโตขึ้นในทิศทางบวก เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล รายงานว่า ราคาอะลูมิเนียมโลกพุ่งขึ้น 38% นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2553 ส่งผลให้ยอดขายอะลูมิเนียมอยู่ในระดับที่ดี และน่าจะส่งผลต่อไปยังผลประกอบการของผู้ผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่หลายราย อาทิ บริษัท อัลโคฯ บริษัท รีโอ ทินโทฯ และบริษัทยูซี รูซัลฯ ราคาที่เพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมหลากประเภท นับเป็นปัจจัยบ่งชี้ที่สำคัญถึงอุปสงค์ของภาคอุตสาหกรรม สะท้อนถึงสภาพการณ์ของตลาดปลายทางที่แข็งแกร่งขึ้น
และกำลังการผลิตอะลูมิเนียมที่ต่ำลงโดยเฉพาะในประเทศจีน นักวิเคราะห์กล่าวว่าในเวลานี้ ยอดขายบ้าน รถยนต์ และเครื่องบิน ส่งสัญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้บริโภคอะลูมิเนียมอันดับ 2 ของโลก นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่ายอดขายบ้านใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 17% ในปี 2554 เทียบกับปี 2553 ที่เพิ่มขึ้น 7.3% ขณะที่ยอดขายรถยนต์ซึ่งเพิ่มขึ้น 11% ในปี 2553 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 12% ในปี 2554 บาร์เคลย์ แคปิตอล อีควิตี รีเสิร์ช คาดหมายว่าปริมาณการบริโภคอะลูมิเนียมในปี 2554 จะเพิ่มขึ้น 8.1% หลังจากที่ในปี 2553 เพิ่มขึ้น 7.9% ขณะที่ราคาของอะลูมิเนียมที่ปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 2,400-2,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมตริกตัน น่าจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเมตริกตันในปี 2554 อย่างไรก็ดี จะเป็นเวลาอีกหลายเดือนกว่าที่ยอดขายและกำไรที่สูงขึ้นจะสะท้อนออกมาในรายงานผลประกอบการของผู้ผลิตอะลูมิเนียม เพราะบริษัทเหล่านี้ทำสัญญาขายไปล่วงหน้าแล้ว นอกจากนี้ยังมี 2 ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อทิศทางอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ประการแรก การผลิตอะลูมิเนียมใช้พลังงานมาก และราคาพลังงานที่สูงขึ้นอาจลดทอนกำไรลง ประการที่สองคือหากผู้ผลิตตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตักตวงโอกาสจากราคาขายที่สูงขึ้น อาจส่งผลให้มีอะลูมิเนียมออกมาสู่ตลาดมากขึ้น และอาจจะกลายเป็นการกดราคาขายลงได้ ลีโอ ลาร์กิน นักวิเคราะห์ด้านโลหะและเหมืองแร่จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส กล่าวว่า อะลูมิเนียมที่ได้จากผู้ผลิตรายใหญ่ 3 อันดับแรกของโลกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 48% ของปริมาณอะลูมิเนียมทั่วโลก ซึ่งน่าจะช่วยรักษาระดับดีมานด์และซัพพลายให้สมดุล อย่างไรก็ตามยังมีตัวแปรที่สำคัญอยู่ นั่นคือ ประเทศจีน ผู้บริโภคอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งโดยปกติมีกำลังการผลิตอะลูมิเนียมประมาณ 16 ล้านตันต่อปี
ช่วงที่ผ่านมาจีนได้ปิดโรงงานเก่าบางแห่งเพื่อลดปริมาณมลพิษและการใช้พลังงาน ส่งผลให้กำลังการผลิตอะลูมิเนียมของจีนลดลง 1.3 ล้านตัน ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโรงงานเหล่านั้นจะปิดตัวลงนานเพียงใด อะลูมิเนียมที่ผลิตในจีนส่วนใหญ่มาจากโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางที่เป็นผู้จ้างงานหลักในแต่ละท้องถิ่น ดังนั้นถ้าโรงงานหยุดทำการเป็นเวลานาน อาจมีแรงกดดันให้เปิดตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง เอ็ดเวิร์ด เมียร์ นักวิเคราะห์โลหะจากเอ็มเอฟโกลบอล กล่าวว่าแม้จะมีอะลูมิเนียมประมาณ 4 ล้านตันค้างอยู่ในสต๊อกทั่วโลก แต่ไม่น่าจะมีผลทำให้ราคาตกลงเพราะ 70% ของปริมาณดังกล่าวถูกขายผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแล้ว สำหรับผู้ผลิตอะลูมิเนียม ดูเหมือนแนวโน้มทิศทางตลาดจะเป็นผลดีต่อผลประกอบการ บริษัท อัลโคฯ ผู้ผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่จากสหรัฐฯ ที่ประสบปัญหาในช่วงที่ผ่านมา คาดหมายว่าจะกลับมาทำกำไรในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ขณะที่บริษัทรีโอ ทินโทฯ มีแผนจะนำกำไรไปลงทุนขยายการผลิตอะลูมิเนียม โดยบริษัทกล่าวเมื่อเดือนก่อนว่าจะทุ่มเงิน 758 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับการพัฒนาเฟสแรกของเทคโนโลยีผลิตอะลูมิเนียมใหม่ที่ประหยัดพลังงานขึ้นในโรงงานที่แคนาดา ด้านบริษัท ยูซี รูซัลฯ ผู้ผลิตอะลูมิเนียมจากรัสเซีย คาดหมายว่าปี 2554 จะเป็นปีที่แข็งแกร่ง “ปัจจัยหลายประการบ่งชี้อนาคตที่สดใสของตลาดอะลูมิเนียม อาทิ การฟื้นตัวของตลาดในประเทศ เศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นในเยอรมนี อเมริกาใต้ และเอเชีย ราคาซื้อขายระยะสั้นที่พุ่งทำสถิติ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการที่จีนกลายมาเป็นผู้นำเข้าสุทธิอะลูมิเนียม” บริษัทกล่าวในแถลงการณ์
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,600 13-15 มกราคม พ.ศ. 2554
ขายบ้าน, ขายที่ดิน, ขายคอนโด, อสังหริมทรัพย์, นายหน้าขายบ้าน, นายหน้า, ตัวแทน, ขายบ้านมือสอง, ขายคอนโดมือสอง, Real estate, es