เอสซี เดินหน้าขายโครงการกรานาดา บ้านหรูระดับ 55-120 ล้าน หวังได้ยอดขายปีนี้ 1,000 ล้าน ขณะที่ “พฤกษา” เล็งเปิดตลาดแบรนด์ใหม่ บ้านระดับ 5-10 ล้าน ไม่ต่ำกว่า 1 โปรเจ็กต์ในครึ่งปีหลัง ดันพอร์ตยอดขายบ้าน 13,500 ล้าน ก่อนขยับจับตลาดราคา 10 ล้านขึ้น ด้านคิวเฮ้าส์ เล็งบ้านหรูอีก 2 โครงการครึ่งปีแรก ส่วนข้อมูลจากแอเรียปี 53 บ้าน 5 ล้านมี 4,000 ยูนิต มูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้าน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ยังคงเติบโตได้ด้วยดี แต่อาจจะไม่มากเท่าปีที่ผ่านมา เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเป็นองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก ปัญหาการเมือง อัตราดอกเบี้ยแนวโน้มขาขึ้น ส่วนตลาดบ้านที่อยู่ในระดับบนนั้น เชื่อว่ายังคงเติบโตได้ดี เพราะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับบนนั้น มีกำลังซื้อสูงเป็นกลุ่มเจ้าของกิจการที่มักจะซื้อด้วยเงินสด ขณะที่ผลตอบแทนจากธุรกิจอสังหาฯ ยังสูงเมื่อเทียบกับการฝากเงินกับธนาคาร “การที่ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาบ้านในตลาดบนนั้น น่าจะเป็นด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ประการ คือ ตลาดล่างมีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆ มากกว่า แม้ว่าส่วนใหญ่ยังมีกำลังซื้อก็ตาม แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมีผลต่อจิตวิทยาทำให้ชะลอการตัดสินใจ ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันยังต่ำ ทำให้กลุ่มคนมีเงินนำมาลงทุนในอสังหาฯ ก็ยังมีความคุ้มค่ากว่า เมื่อเทียบกับการนำเงินฝากธนาคาร และภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ทุกรายต้องการส่วนแบ่งตลาดจากทุกกลุ่ม ถ้ามีหลายโปรดักต์ก็ช่วยให้ได้ผลประกอบการตามเป้าหมาย แต่ไม่เชื่อว่าทุกคนจะมุ่งไประดับบนทั้งหมด อาจจะไปในตลาดกลุ่มบี บีบวก” นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวและว่า ++++แนวราบเสี่ยงน้อยกว่า ส่วนบริษัทตลาดหลักที่จะจับเป็นกลุ่มระดับกลางขึ้นบน ในปีที่ผ่านมาได้พัฒนาแบรนด์กรานาดา ซึ่งเป็นบ้านไฮเอนด์ระดับราคา 55-120 ล้านบาท โดยเปิดตัวโครงการแรก “กรานาดา ปิ่นเกล้า” ตั้งอยู่ติดถนนปิ่นเกล้า-บรมราชชนนี บริเวณพุทธมณฑลสาย 3 บนพื้นที่กว่า 86 ไร่ เพียง 43 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมามียอดจองแล้ว 2 ยูนิต มูลค่า 167 ล้านบาท นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า การที่บริษัทพัฒนาโครงการกรานาดา เนื่องจากมีที่ดินสะสมไว้นานแล้ว และเห็นว่าเหมาะสมที่จะพัฒนาเป็นบ้านระดับราคาสูง ประกอบกับตลาดกลุ่มบ้านไฮเอนด์มีกำลังซื้อสูงมาก ซึ่งในปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายในแบรนด์กรานาดา 1,000 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มของตลาดก็เชื่อว่าผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนาบ้านระดับบนมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะส่วนใหญ่จะลดการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม หันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากมีความเสี่ยงน้อยกว่า ++++”พฤกษา”เจาะ3-5ล้าน นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนธุรกิจและจัดหาพื้นที่ในแปลงขนาด 30-50 ไร่ สำหรับการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-10 ล้านบาท เนื่องจากเป็นตลาดที่บริษัทยังไม่เข้ามาพัฒนาอย่างจริงจัง โดยจะพัฒนาภายใต้แบรนด์ใหม่ นอกจาก 21 แบรนด์เดิมที่บริษัทมีอยู่แล้ว คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ “บริษัทมองว่าตลาดบ้านเดี่ยวระดับ 5-10 ล้านบาทยังไม่เคยพัฒนา ซึ่งปีนี้คงจะเริ่มเห็นการพัฒนา เพราะอยู่ในแผนธุรกิจที่วางไว้ ซึ่งคอนเซ็ปต์การพัฒนาจะใช้ที่ดินขนาด 30-50 ไร่ ถือว่าเป็นขนาดที่เหมาะสม อยู่ในทำเลที่ตั้งที่การคมนาคมสะดวก ไม่จำเป็นต้องเกาะแนวรถไฟฟ้าก็ได้ การก่อสร้างก็คงยังใช้พรีคาสต์ แต่ต้องมีดีไซน์ที่โดดเด่นกว่าคู่แข่ง รวมถึงเน้นจุดขายในเรื่องความคุ้มค่าเป็นหลัก หากราคาใกล้เคียงคู่แข่งก็ต้องมีพื้นที่มากกว่า หากพื้นที่เท่ากันก็ต้องมีสเปกวัสดุที่ดีกว่า”นายเมธา กล่าวและว่า หากสามารถพัฒนาโครงการได้จะทำมากกว่า 1 โครงการในปีนี้ โดยปีหน้าก็จะพัฒนาโครงการระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปด้วย เพราะพฤกษา ยังไม่มีบ้านระดับราคาดังกล่าวด้วยเช่นกัน แม้ว่าตลาดหลักของบ้านเดี่ยวจะอยู่ระดับราคา 3-5 ล้านบาทก็ตาม แต่เพื่อให้ธุรกิจสร้างการเติบโตจึงจำเป็นต้องมีระดับราคาครบทุกกลุ่มเป้าหมาย แม้ว่ากลุ่มบ้านระดับราคา 5 ล้านบาท บริษัทไม่ได้วางเป้าหมายทำรายหลักให้บริษัทก็ตาม แต่ถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพเพราะผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง +++++บ้านเดี่ยวเปิด4,000ยูนิต นายเมธา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์บ้านเดี่ยวอยู่ 5 แบรนด์ ได้แก่ พฤกษา วิลเลจ ระดับราคา 2.5-4 ล้านบาท พฤกษา ทาวน์ ระดับราคา 2.5-4 ล้านบาท ภัสสร ระดับราคา 3-5 ล้านบาท แต่อาจจะมีบางทำเลที่ระดับราคาสูง 6-7 ล้านบาท เดอะ แพลนท์ ระดับราคา 4 ล้านบาท และแบรนด์พฤกษา ปุริ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท โดยในปีนี้วางเป้าหมายยอดขายกลุ่มบ้านเดี่ยว 13,500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 35% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 42,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาที่ทำยอดขายได้กว่า 8,600 ล้านบาท หรือสัดส่วนประมาณ 22% ด้านข้อมูลจากบริษัท เอเจนซี ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด รายงานว่า ในรอบปีที่ผ่านมาโครงการบ้านเดี่ยวของผู้ประกอบการอสังหาฯ มีเปิดตัว 17,400 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่มีอยู่ 11,200 ยูนิต โดยระดับราคา 3-5 ล้านบาท เปิดตัวมากที่สุดด้วยสัดส่วน 50% จำนวน 8,700 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่มีจำนวน 5,000 ยูนิต ส่วนบ้านเดี่ยวระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไปนั้นมีเปิดตัวใหม่ 4,000 ยูนิต เพิ่มจากปีก่อนหน้าที่เปิดตัว 3,400 ยูนิต หากประเมินมูลค่าบ้านระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ++++ดีมานด์จำกัด-โตได้ ส่วนนายแสนผิน สุขี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านโครงการบ้าน 2 บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดบ้านระดับไฮเอนด์ปัจจุบันยังถือว่าเติบโตได้ดี ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกนี้บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการลัดดารม อีลีแกลนท์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ และโครงการพฤกภิรมย์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดแบรนด์บ้านระดับไฮเอนด์โครงการใหม่ คิวเฮ้าส์อเวนิว ระดับราคา 20-120 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 6,200 ล้านบาท จำนวน 210 ยูนิต ซึ่งสามารถทำยอดขายได้ถึง 600 ล้านบาท ด้านนายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวแสดงความเห็นต่อทิศทางตลาดบ้านระดับบนว่า หากเป็นกลุ่มบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาทนั้น ยังเป็นกลุ่มบ้านที่มีดีมานด์จำกัดและซัพพลายก็ไม่มาก แต่เป็นตลาดที่ยังเติบโตได้ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เพราะกลุ่มผู้ซื้อบ้านระดับดังกล่าว กว่า 90% เป็นผู้ประกอบการเจ้าของกิจการ ซึ่งหากเป็นพนักงานบริษัทก็จะมีรายได้หลักแสนบาทขึ้นไป ทำให้ผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการเหล่านี้ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่มากเมื่อเทียบกับบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นฐานใหญ่ที่สุดของตลาดบ้านเดี่ยว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,609 13 – 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ขายบ้าน, ขายที่ดิน, ขายคอนโด, อสังหริมทรัพย์, นายหน้าขายบ้าน, นายหน้า, ตัวแทน, ขายบ้านมือสอง, ขายคอนโดมือสอง, Real estate, es