<p><strong>ตลาดคอนโดฯ ลักชัวรี </strong>เริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังเห็นสัญญาณเงินนอกเริ่มไหลบ่าซื้อบ้านหรูในเมืองไทย “ไนท์แฟรงค์” เล็งขนโครงการออกโรดโชว์ปลายปี ด้านคอลลิเออร์สฯ ฮ่องกง แนะสนง.เมืองไทยขนโปรเจ็กต์ไปขาย ด้านเศรษฐีรัสเซีย-อินดียจ่อซื้อวิลล่าหรูราคากว่า 150 ล้านบาทบนเกาะภูเก็ต นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมลักชัวรีช่วงครึ่งปีหลัง เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น แต่อาจจะไม่ดีเหมือนช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาที่ตลาดเติบโตสูง ซึ่งเชื่อว่าตลาดจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากที่มีการเลือกตั้งแล้ว 3-6 เดือน โดยในปัจจุบันยอดขายโครงการยังคงมีอย่างต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป แม้กลุ่มนักลงทุนจะลดลงบ้างก็ตาม แต่กลุ่มผู้ที่ซื้อเพื่ออาศัยอยู่จริงก็ยังคงมีอยู่กว่า 60-70% <strong>คอนโดฯ</strong> ระดับราคา 3-8 ล้านบาทต่อยูนิต ก็ยังคงขายได้อย่างต่อเนื่อง แต่ระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปอาจจะขายช้าและยอดขายไม่ได้หวือหวา ส่วนหนึ่งซัพพลายใหม่มีน้อย ตอนนี้ตลาดเป็นของผู้ซื้อที่เลือกมากขึ้นและต่อรองราคามากขึ้นด้วย ส่วนกลุ่มต่างชาติในกรุงเทพฯ ก็ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่วนใหญ่จะชะลอการตัดสินใจซื้อ เพราะรอดูสถานการณ์การเมืองในประเทศเป็นหลัก แต่หลังจากนี้น่าฟื้นตัวดีขึ้นเพราะเปรียบเทียบราคาอสังหาฯ ไทยก็ยังถูกกว่าสิงคโปร์และฮ่องกง ที่ปัจจุบันปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าปีที่ผ่านมา”นายพนม กล่าวและว่า มีความเป็นไปได้ที่ช่วงปลายปีบริษัทจะไปจัดงานโรดโชว์ในฮ่องกง ส่วนโครงการที่จะนำไปขายจะเป็นกลุ่ม<strong>คอนโดฯ</strong>ย่านใจกลางเมืองระดับราคายูนิตละ 10-15 ล้านบาท และ<strong>บ้านพัก</strong>ตากอากาศตามเมืองท่องเที่ยวระดับราคา 30-50 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ขายดีและได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ ปัจจุบันบริษัทรับบริหารงานขายให้โครงการต่างๆรวม 8 โครงการ มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เช่นเดียวกับดร.ปฏิมา จีระแพทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด ที่กล่าวว่า แนวโน้มคอนโดมิเนียมกลุ่มลักชัวรีครึ่งปีหลัง เริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น alt ทั้งนี้ทางสำนักงานที่ฮ่องกงได้แจ้งให้สำนักงานประเทศไทยเตรียมจัดหาโครงการเพื่อนำไปขายที่ฮ่องกง เนื่องจากมีกลุ่มชาวต่างชาติให้ความสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยชาวต่างชาตินิยมซื้อคอนโดฯ ขนาด 80-100 ตารางเมตร ในระดับราคา 1.7-2 แสนบาทต่อตารางเมตร ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทเคยนำโครงการในเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานีไปขายได้มากถึง 200 ยูนิต “สัญญาณการฟื้นตัวของคอนโดฯ เกรดเอ น่าจะเป็นผลจากการที่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีการเปิดเสรีการค้าในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทำให้มีดีมานด์เพิ่มขึ้น เห็นได้จากจำนวนโรงเรียนนานาชาติที่เพิ่มขึ้นถึง 300% เพราะเขามองเห็นอนาคตที่จะมีชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ในเมืองไทยอีกมาก นอกจากนี้ยังพบว่าความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักลงทุนจีน เป็นต้น ที่เข้ามาลงทุนสร้าง<strong>คอนโดฯ </strong>แถวถนนพระราม 9 แสดงให้เห็นทิศทางการขยายตัวของ<strong>ธุรกิจอสังหาฯ </strong>เมืองไทยมีเพิ่มมากขึ้นด้วย” ด้านนางสาวพรภักษ์ บูรณ์ทอง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย <strong>บริษัท เอเจนซี ฟอร์เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด</strong> กล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาของปีนี้ มีโครงการคอนโดฯ ราคาตารางเมตรละ 80,000 บาท ขึ้นไปเปิดตัวรวม 800 หน่วย ใน 8 โครงการ ซึ่งมีอัตราการขายได้ในเดือนแรกเฉลี่ย 30% หลังจากนั้นมีอัตราการขายได้เฉลี่ย 10% ซึ่งยังถือว่าอัตราขายยังเป็นปกติ เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา ที่มีคอนโดฯ ระดับราคา 80,000 บาทขึ้นไปเปิดตัวใหม่จำนวน 2,400 หน่วย ใน 9 โครงการ ซึ่งมีอัตราการขาย 30% ในเดือนแรกเช่นเดียวกัน ทำให้ยอดขายของซัพพลายใหม่ในปีนี้กับปีที่ผ่านมา มีอัตราการขายไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ด้านนายเดวิด ซีมิสเตอร์ ประธานบริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า <strong>ตลาดบ้านพักตากอากาศ</strong>ในจังหวัดภูเก็ต เริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้ง ด้วยยอดการซื้อขายในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ที่มีจำนวนธุรกรรมและการแสดงความสนใจซื้อจากลูกค้าเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยมีธุรกรรมการซื้อขายเกิดขึ้นมากกว่า 20 รายการ ถือว่าฟื้นตัวดีขึ้น นับจากจากปี 2551 เป็นต้นมาที่เกิดภาวะตลาดชะลอตัวจากสาเหตุวิกฤติการเงินโลก “ลูกค้าส่วนใหญ่จะให้ความสนใจซื้อรีเซลล์ในโครงการที่แล้วเสร็จ ทำให้ยอดขายในโครงการลักษณะดังกล่าวถึง 88% ขณะที่โครงการซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างมียอดขายเพียง 50% เท่านั้น และบ้านพักตากอากาศที่อยู่ภายใต้การบริหารของแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียง และมีการบริหารจัดการที่ดีเป็นกลุ่มที่การซื้อขายมากที่สุด” สอดคล้องกับนางสาวประกายเพชร มีชูสาร ผู้อำนวยการฝ่ายซื้อ<strong>ขายบ้าน</strong>พักตากอากาศ ของ ซีบี ริชาร์ด เอลลิส ประจำสาขาภูเก็ต กล่าวว่า ความต้องการซื้อและยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากกลุ่มบุคคลระดับมหาเศรษฐี โดยเฉพาะจากรัสเซียและอินเดีย ที่มองหาบ้านพักแบบพูลวิลล่าขนาด 4 – 5 ห้องนอนที่มีการตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูง รวมไปถึงตั้งอยู่ในทำเลที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ชัดเจน และเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองมากกว่าจะลงทุนเพื่อปล่อยเช่า “ปัจจุบันมีวิลล่าราคา 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯหรือประมาณ 150 ล้านบาทขึ้นไปใน 2-3 โครงการที่ได้รับความนิยมจากลูกค้า และความต้องการบ้านที่มีราคา 5 – 10 ล้านบาทมีเพิ่มมากขึ้น โดยทำเลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในทุกระดับของตลาด คือ บริเวณชายฝั่งด้านตะวันตกของเกาะ โดยรวมแล้ว สัญญาณต่าง ๆ บ่งชี้ไปในทิศทางที่ดีและตลาดกำลังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว”
</p>
<p>จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,642 9-11 มิถุนายน พ.ศ. 2554</p>
ขายบ้าน, ขายที่ดิน, ขายคอนโด, อสังหริมทรัพย์, นายหน้าขายบ้าน, นายหน้า, ตัวแทน, ขายบ้านมือสอง, ขายคอนโดมือสอง, Real estate, es