ขายบ้าน : 3 สมาคมบ้าน ผนึกหอการค้าไทย เสนอกระทรวงการคลัง ลดภาษี-ค่าโอนบ้าน-คอนโดมิเนียมถาวร เปิดตัวเลขราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ลดค่าโอน จาก 2% เหลือ 0.5 % เกิน 3 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท เหลือ 1% เกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป เก็บปกติหรืออัตราก้าวหน้าเหมือนต่างประเทศ ยันต่อไปก็ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอยู่แล้ว หวังกระตุ้นให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งที่อยู่อาศัย พร้อมเสนอขอดอกเบี้ยต่ำ ฟิกซ์เลต 4 % ผ่อนระยะยาว 20-30 ปี แม้ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลจะสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงแหล่งสินเชื่อและที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญเหมือนต่างประเทศ แต่ในทางปฏิบัติ ไม่สามารถดำเนินการตามนโยบายที่วางไว้ได้ เนื่องจากเงื่อนไขทางภาษี ค่าธรรมเนียมต่างๆ หลายรายการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาทิ กรมที่ดิน กรมสรรพากร ที่เรียกเก็บแบบซ้ำซ้อนจนกลายเป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการผลักภาระให้กับผู้บริโภคด้วยการบวกเข้าไปในราคา
ขายบ้าน ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีแรงงาน ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีรายได้ต่อปีรวมแล้วกว่า 10% ที่ เป็นภาระ โดยไม่รวมมาตรการระเบียบข้อกฎหมายที่ออกมาล้อมคอกให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนา ทางออก รัฐบาลต้องปลดล็อกลดภาระภาษีผู้บริโภคและผู้ประกอบการลง เชื่อว่าจะช่วยให้คนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ เรื่องนี้ นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผย”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ขณะนี้ 3 สมาคม ประกอบด้วย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ศึกษาและจัดทำข้อเสนอผ่านทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเสนอต่อกระทรวงการคลัง ที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาเห็นชอบ โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยในภาพรวมของคนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ และประชาชนทั่วไป แต่มีปัญหาว่า ต้องรับภาระเกี่ยวกับภาษีต่างๆ ตลอดจน ค่าธรรมเนียมการโอนบ้านที่สูง ทางออก ควรส่งเสริมกลุ่มที่ต้องการมีบ้านด้วยการลดค่าธรรมเนียมการโอน ภาษี ให้ต่ำลงกว่าปกติ และ ถาวร เพื่อสามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ง่ายขึ้น เมื่อประชาชนสามารถซื้อบ้านง่ายขึ้น เชื่อว่ารัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ” ได้ศึกษาร่วมกับ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับมาตรการการลดหย่อนภาษี เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงที่อยู่อาศัย แหล่งสินเชื่อ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย” นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวอีก ว่า นอกจากนี้ ยังผลักดันเกณฑ์การลงทุน บ้านบีโอไอ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้ว หากรัฐบาลให้การลดหย่อนภาษีอย่างจริงจัง จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างบ้านขายราคาไม่เกิน 600,000 บาทต่อหน่วยได้ แต่ปัจจุบันทำไม่ได้ เนื่องจากต้นทุนสูง ทั้งราคาที่ดินและภาษี ส่งผลให้บ้านบีโอไออยู่ที่ราคา 1,000,000 บาทต่อหน่วย กับ 1,200,000 บาทต่อหน่วย ขณะเดียวกัน ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ ดอกเบี้ยต่ำ ฟิกซ์เลต 4 % ผ่อนระยะยาว 20-30 ปี เช่น บ้าน ราคา 1,000,000 บาท ผ่อนเดือนละ 4,000-5,000 บาท เช่นเดียวกับ กรุงเทพมหานคร ดำเนินโครงการบ้านยิ้ม อัตราดอกเบี้ยต่ำ ด้านนายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ปัจจุบัน 3 สมาคม เป็นคณะกรรมการของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่มี นายประสงค์ เอาฬาร อดีตนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เป็นประธาน ขณะนี้ มีแนวทางร่วมกันว่า ข้อเสนอลดหย่อนภาษี-ค่าธรรมเนียมการโอน ประกอบด้วย ค่าธรรมเนียมการโอนของกรมที่ดิน หากราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3,000,000 บาทต่อหน่วย เสนอลดค่าธรรมเนียมการโอน 0.5 % ส่วนที่เกิน 3,000,000 บาทแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท ลดหย่อนเหลือ 1% กรณีราคาเกิน 10 ล้านบาทขึ้นไป เสนอให้จัดเก็บในอัตรา 2% หรืออัตราก้าวหน้าตามความเหมาะสม “โดยมีเหตุผลว่า ปัจจุบันกรมที่ดินจัดเก็บค่าธรรมเนียมการโอนในอัตราเดียว คือ 2% ต่อไปเห็นสมควรเก็บในอัตราก้าวหน้า โดยบ้านที่มีราคาแพงเห็นควรเก็บในอัตราที่สูงขึ้นและบ้านที่มีราคาถูกเก็บในอัตราที่ต่ำลง เพื่อส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้ที่กำลังซื้อน้อยและปานกลาง” สำหรับ ภาษีธุรกิจเฉพาะ ปัจจุบันกรมสรรพากร จัดเก็บภาษีในอัตรา 3.3% โดยข้อเสนอได้เสนอให้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีดังกล่าวออกไป หากรัฐบาลไม่ยินยอม ขอให้จัดเก็บไม่เกิน 0.5% ทั้งนี้เนื่องจาก 1.ผู้ประกอบการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)7% ที่ซ่อนรูปอยู่ในการพัฒนาที่ดินและก่อสร้างอยู่แล้ว ซึ่งไม่สามารถเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มกับผู้ซื้อบ้าน(ผู้อุปโภคขั้นสุดท้าย) ได้เช่นเดียวกับธุรกิจสินค้า และบริการประเภทอื่น 2.การจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะกับผู้ประกอบการอีกถือว่าเป็นการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อนกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 3. กรณีบุคคลธรรมดาควรยกเลิกภาษีธุรกิจเฉพาะเช่นกัน เนื่องจากต้องเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่ จ่ายอยู่แล้ว นอกจากนี้ ภาษีรายได้หัก ณ ที่จ่ายปัจจุบัน ให้ปรับปรุงใหม่ โดยคิด จาก CAPITAL GAIN หรือส่วนต่างราคาขายกับราคาที่ซื้อมา (คิดจากส่วนต่างของกำไร) หากขายขาดทุนก็ไม่ต้องเสีย ผลจากการคิดโดยวิธีนี้ในระยะยาว จะทำให้มีการแจ้งราคาซื้อขายที่เป็นจริงเป็นการขยายฐานการเสียภาษีเพราะมีการซื้อขายเปลี่ยนมือมากขึ้นและต่อไปกรมที่ดินจะสามารถกำหนดราคาประเมินอสังหาริมทรัพย์ได้ใกล้เคียงกับราคาตลาดมากยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมา จะคิดจากปีถือครองและราคาประเมินของกรมที่ดิน โดยไม่คำนึงว่าผู้ขายจะมีกำไรหรือขาดทุนเมื่อเทียบกับราคาต้นทุนที่ซื้อมา นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้การซื้อที่อยู่อาศัยมีภาระมากต่อค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ค่าธรรมเนียมของกรมที่ดิน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการโอน 2% สำหรับนิติบุคคล ส่วนบุคคลธรรมดาหากโอนกันเอง จะต้องเสียค่าธรรมเนียมการโอน 2.5% นอกจากนี้ยังมีค่าจดจำนอง 1% ส่วนภาษีของกรมสรรพากร จะเป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย 1% (หักทันที) อย่างไรก็ดี รัฐมักมองว่า ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% กับภาษีเงินได้ ผู้ประกอบการจะเป็นผู้เสีย แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน ที่ต้องบวกให้กับผู้ซื้อ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการยังมีภาระภาษีที่ต้องเสียปลายปี คือ ภาษีนิติบุคคลที่เป็นยอดของกำไร คือ 30% ซึ่งหากเป็นผู้ประกอบการ รายเล็ก-รายกลางหรือ โนเนม จะบวกประมาณ 20 % ของกำไร ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ หรือ กลุ่มแบรนด์เนม จะบวกประมาณ 30-40 % ของยอดกำไร ซึ่งผู้ประกอบการจะบวกในราคาบ้านล่วงหน้า หลังจากประมาณการว่าปลายปีจะมียอดขายและกำไรเท่าไร นอกจากนี้ยังมีภาษีที่ซ้ำซ้อนอีกมากที่เป็นต้นทุนการพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้แก่ ภาษีที่เกิดจาก ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย 7% คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ขณะเดียวกัน ในระหว่างการก่อสร้างจะมีค่าแรงงาน ซึ่งต้องถูกหัก 3% ของแรงงาน ซึ่งเป็นค่าจ้างแรงงานทั้งหมด เช่น บ้านหลังหนึ่งมีค่าแรง 200,000บาท จะต้องเสีย 3% ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้ถูกผลักภาระไว้ที่ราคา
ขายบ้านหมดแล้ว อย่างไรก็ดี ยกตัวอย่าง หากบ้านราคา 1,000,000 บาทต่อหน่วย โดยรวมแล้วจะเสียภาษีมากถึงเกือบ 20% ซึ่งมองว่าเป็นตัวเลขที่สูง แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว บ้านราคาขาย 1,000,000 บาท ราคาค่าก่อสร้างไม่รวมภาษี จะไม่เกิน 500,000 บาท ส่วน อีกกว่า 50% ล้วนเป็นต้นทุนที่เกิดจากภาษีทั้งสิ้น “ที่สำคัญยังมีภาระ หากโอนกรรมสิทธิ์และผ่อนชำระกับสถาบันการเงินแล้ว บ้านราคา 1,000,000 บาท ที่ถูกบวกภาษีแล้ว เมื่อต้องผ่อนชำระกับแบงก์พร้อมดอกเบี้ย 20-30 ปี จ่ายมากถึง 2 เท่า จากบ้านราคา 1,000,000 บาทจะเป็น 2 ,000,000 บาท ดังนั้นเมื่อภาระด้านภาษีมาก มองว่ารัฐบาลควรผลักดันให้ลดภาษีลง โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลมีแผนนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้ ซึ่งต่อไปบ้านทุกหลังจะต้องเสียภาษีที่ดินทุกปี ดังนั้นเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน ช่วยเหลือผู้ซื้อบ้าน จึงควรลดหย่อนภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนดังกล่าวออกไป และต้องเป็นการลดหย่อนที่ถาวร เพราะที่ผ่านมา เมื่อเกิดวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลนำมาตรการลดหย่อนภาษีมาใช้ อาทิ ลดค่าโอนจาก 2% เหลือ 0.01% จดจำนอง 1% เหลือ 0.01% และภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% เหลือ 0.11 % แต่ เป็นมาตรการระยะสั้น ซึ่งที่ผ่านมาหากมีการลดหย่อนมักจะขายดี” นายธำรง กล่าวว่า บ้านถือว่าเป็น 1 ในปัจจัย 4 อยากให้ภาครัฐตระหนักถึงความจำเป็น เพราะผู้ประกอบการรับภาระมาก แต่ผู้ซื้อที่ผ่านมา รัฐมักมองว่า บ้านเป็นของฟุ่มเฟือยหรือไม่มีความจำเป็นเท่าๆกับ บุหรี่ สถานบันเทิง สุรา ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีภาระ อื่นๆตามมา เช่น ข้อกฎหมายใหม่ๆที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯซึ่งล้วนแต่เป็นต้นทุน จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,623 3- 6 เมษายน พ.ศ. 2554