ธุรกิจรับสร้างบ้าน เตรียมขึ้นราคารับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ของพรรคเพื่อไทย กลุ่มพีดีเฮ้าส์ ขึ้นอีก 3% ในไตรมาส 3 หลังไม่ได้ปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี ชี้ตลาดยังโตมีเม็ดเงินกว่า 11,000 ล้าน กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ปรับขึ้น 3-5% กลุ่มบ้าน 10 ล้าน ขณะที่สมาคมรับสร้างบ้าน ออกโรงเตือนประชาชนอย่าสร้างบ้านเพราะราคาถูก หวั่นผู้ประกอบการทิ้งงาน นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน (ทีเอชซีเอ) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า นโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทของรัฐบาลชุดใหม่ จะส่งผลกระทบต่อตุ้นทุนการก่อสร้างบ้านเพิ่มขึ้นในอัตรา 5% แต่สำหรับราคาขายบ้านจะปรับเพิ่มขึ้นในอัตรา 2-4% ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการแต่ละรายที่จะมีการบริหารจัดการธุรกิจของตนเองได้ดีแค่ไหน ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นของราคาดังกล่าว เชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อความต้องการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภคเท่าไรนัก ยกเว้นว่าจะมีต้นทุนด้านอื่นๆ ที่มาทำให้ราคาเพิ่มขึ้นสูงกว่านี้ สำหรับกลุ่มพีดีเฮ้าส์มีแผนจะปรับราคารับสร้างบ้านใหม่ขึ้นอีก 3% ภายในไตรมาสที่ 3 นี้ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันไม่ได้มีปรับราคาเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างจะปรับเพิ่มขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม เพราะกลุ่มพีดีเฮ้าส์มีการเจรจากับกลุ่มผู้ค้าวัสดุก่อสร้างในการขอตรึงราคามาได้ระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นนับจากนี้ เพราะการก่อสร้าง โดยปัจจุบันจะต้องเริ่มสร้างช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งจะต้องใช้ต้นทุนค่าแรงและวัสดุก่อสร้างใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันแล้ว นายสิทธิพร กล่าวอีกว่า ภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านปีนี้ยังคงเติบโต โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ที่ขยายตัวได้ดี และมีผู้ประกอบการจากส่วนกลางเข้าไปทำตลาดไม่มากนัก ซึ่งในปีนี้ภาพรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านน่าจะมีมูลค่า 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในกรุงเทพฯและปริมณฑลประมาณ 8,000 ล้านบาท และในต่างจังหวัดประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว หากเป็นคำสั่งซื้อหลังจากนี้ผู้ประกอบการน่าจะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นยอดขายก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการต้องเร่งสร้างให้เสร็จก่อนที่ต้นทุนใหม่จะเพิ่มขึ้น “เรื่องค่าแรงที่จะปรับขึ้น 300 บาท ตามข้อเท็จจริงในธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น ทุกวันนี้ค่าจ้างคนงานที่มีฝีมือจ่ายมากกว่า 300 บาทอยู่แล้ว และส่วนใหญ่จะไม่มีแรงงานที่ไม่มีฝืมือเข้ามาทำงานมากนัก และการจ้างก็เป็นการจ้างแบบเหมาไม่ได้จ้างแบบรายวัน ค่าแรงที่จะปรับขึ้นจึงไม่ได้มีผลลบเท่าไร เพราะปัจจุบันแรงงานก็ค่อนข้างหายาก เนื่องจากการจ้างงานในภาคเกษตรที่ให้ค่าแรงสูง ทำให้คนย้ายไปทำงานภาคเกษตร เพราะนอกจากได้ค่าแรงที่สูงกว่าหรือเทียบเท่าแล้ว ยังได้กลับไปอยู่ในภูมิลำเนาของตัวเองด้วย ซึ่งหากการเพิ่มค่าแรงมากขึ้นก็อาจจะส่งผลดีทำให้แรงงานกลับมาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านมากขึ้นได้ด้วย” ด้านนายสุธี เกตุสิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด กล่าวว่า นโยบายการปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงเป็น 300 บาทต่อวันน่าจะทำให้ต้นทุนค่าแรงและวัสดุก่อสร้างของธุรกิจรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 5-10% จากปกติที่ต้นทุนวัสดุก่อสร้างมีการปรับเพิ่มขึ้นปีละ 3-5% อยู่แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการมีแผนที่จะปรับราคารับสร้างบ้านเพิ่มขึ้น 3-5% อย่างช้าภายในไตรมาสที่ 4 นี้ แต่บางบริษัทอาจจะมีการปรับขึ้นราคาเลยภายในไตรมาสที่ 3 นี้ สำหรับกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ คาดว่าจะปรับราคาขายใหม่ในเดือนสิงหาคมนี้ ในกลุ่มบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปและมีระยะเวลาการก่อสร้างตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป แต่สำหรับบ้านที่ราคาต่ำกว่า และมีระยะเวลาสร้างน้อยกว่า คงจะปรับช่วงไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป เพราะเชื่อแน่ว่ารัฐบาลจะต้องประกาศใช้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทในจังหวัดกรุงเทพฯ และภูเก็ตอย่างแน่นอน “ปกติธุรกิจรับสร้างบ้านรู้ดีอยู่แล้วว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะเมื่อเซ็นสัญญากับลูกค้าวันนี้อีก 6 เดือนหรือ 1 ปีกว่าจะสร้างบ้านได้เสร็จ ก็จะคำนวณราคาเผื่อไว้แล้วจากภาวะการเพิ่มขึ้นของต้นทุนปกติ 3-5% แต่นโยบายของพรรคเพื่อไทยนั้นเป็นตัวเร่งที่เร็วขึ้น และต้นทุนก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้น 5-10% ด้วย แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ส่งผลดีที่จะช่วยดึงแรงงานที่ช่วง 2 ปีนี้หายไป 20-30% เพราะแรงงานกลับไปสู่ภาคเกษตรที่ให้ค่าจ้างสูงกว่า อาจจะกลับมาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้าน แต่อย่างไรก็ตาม ในการทำธุรกิจหากเป็นบริษัทรายใหญ่ก็คงจะต้องบริหารต้นทุนให้ดี และบางครั้งต้องยอมกำไรลดลงเพื่อรักษาลูกค้าไว้ และลูกค้าส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับกับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นด้วย” ขณะที่นายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหสุธา จำกัด กล่าวว่า นโยบายค่าแรงจะส่งผลต่อการปรับขึ้นค่าแรงงานสูงถึง 39.5% และยังส่งผลต่อราคาวัสดุก่อสร้างที่จะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งแนวโน้มธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้เชื่อว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ผู้ประกอบการในปีนี้คงทำกำไรจากธุรกิจได้ยากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องสร้างบ้านให้เร็วขึ้น และไม่ให้เกิดความผิดพลาด และมีการบริหารต้นทุนให้ดี เพราะแนวโน้มราคาขายบ้านจะต้องปรับขึ้น 8-10% อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมต้องเตือนให้ประชาชนที่จะปลูกสร้างบ้านจะต้องเลือกผู้ประกอบการที่มีความน่าเชื่อถือ อย่างเลือกสร้างบ้านด้วยปัจจัยด้านราคา เพราะอาจจะทำให้ไม่ได้รับบ้านตามที่ต้องการได้ ซึ่งทางสมาคมมีแผนที่การจัดงาน “รับสร้างบ้าน 2011” ในระหว่างวันที่ 25-28 ส.ค.นี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นงานที่จัดติดต่อกันเป็นครั้งที่ 8 ที่ผ่านมาจะมีการนำเสนอเรื่องราคาพิเศษ และโปรโมชันที่ร้อนแรง แต่ปีนี้ได้แจ้งกับสมาชิกแล้วว่า หากจะทำโปรโมชันดุเดือดอย่างไร ควรนึกถึงต้นทุนที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าด้วย
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,659 7 – 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554