3 นายกสมาคม ด้านอสังหาฯ มั่นใจเสถียรภาพทางการเมือง เชื่อหากนโยบายด้านอสังหาฯ ของพรรคเพื่อไทยทำได้จริง จะช่วยกระตุ้นตลาดโตอีกมาก นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร แนะแบ่งกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์จากนโยบาย 0% เพื่อสร้างความเป็นธรรม ด้านนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย แนะรัฐบาลเดินหน้าสานต่อโครงการรถไฟฟ้า กระตุ้นให้ดีเวลอปเปอร์พัฒนาตามแนวเส้นทาง ส่วนนายกสมาคมอาคารชุดไทย ห่วงแหล่งเงินทุนที่จะนำมาใช้ในนโยบายประชานิยม นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า นโยบายด้านอสังหาริมทรัพย์ของพรรคเพื่อไทย ที่ชนะการเลือกตั้งและเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีประเด็นสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ การลดค่าธรรมเนียมการโอน การเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรกจากปีละไม่เกิน 100,000 บาท เป็น 500,000 บาท และการให้อัตราดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปี สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในราคาไม่เกิน 4 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นนโยบายที่สนับสนุนผู้ซื้อโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติควรมีการแยกกลุ่มผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว เป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้มีบ้านหลังแรก และบ้านระดับราคาแพง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม “นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ออกมาถือว่าเป็นนโยบายที่ดีและจับต้องได้ เพราะมีทั้งนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นการสนับสนุนทางสังคม อย่างนโยบายดอกเบี้ย 0% ก็เป็นนโยบายที่ดีที่ทำให้ผู้ซื้อเข้าถึงการขอสินเชื่อได้ง่าย แต่ระดับการช่วยเหลืออาจจะแบ่งเป็นระดับราคาแตกต่างกันไป เพื่อให้การช่วยเหลือที่เข้าถึงกับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางโดยตรง ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่มีฐานะดีจะไม่ตำหนิ เพราะเป็นการช่วยเหลือสังคม” นายอิสระ กล่าวและว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะเติบโตไปตามภาวะเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัว จากการเมืองที่มั่นคงมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการเชื่อมั่นมากขึ้น ภาพรวมของธุรกิจในครึ่งปีหลังก็น่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก แต่ภาพธุรกิจโดยรวมในปีนี้อาจจะไม่ดีเท่ากับปีที่ผ่านมา ยกเว้นว่ารัฐบาลจะนำมาตรการออกมากระตุ้นได้ทันภายในปีนี้ แต่เชื่อว่านโยบายของรัฐบาลน่าจะส่งผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้ามากกว่า นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า สิ่งที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่สนับสนุนช่วยเหลือ คือ การดำเนินงานตามแผนงานที่ได้เริ่มมาก่อนหน้านี้แล้ว ในส่วนของระบบสาธารณูปโภค โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ อยากให้เร่งดำเนินการตามแผนงานที่สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้วางแผนไว้แล้ว อย่างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี ซึ่งเมื่อมีความชัดเจนตามแผนงานที่วางไว้แล้ว ผู้ประกอบการก็จะสามารถทำธุรกิจตามแผนที่วางไว้ได้ “ในส่วนต่างจังหวัด อยากให้เน้นเรื่องรถไฟระบบราง ให้มีประสิทธิภาพ อาจจะมีรถไฟความเร็วสูง เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกของระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งจะทำให้เกิดการกระจายความเจริญไปสู่ต่างจังหวัด เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะเป็นรัฐบาลที่ดี และคงไม่เกิดอะไรขึ้นในช่วงระยะเวลา 6 เดือนนับจากนี้ เพราะทุกคนยอมรับได้ว่าเป็นรัฐบาลที่ได้รับเสียงข้างมาก สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ คงไม่มีอะไรที่พลิกล็อก” นายกิตติพล กล่าวและว่า ส่วนนโยบายด้านอสังหาฯ ที่มีออกมาว่าจะให้ผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรก ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% เป็นระยะเวลา 5 ปีนั้น ยังไม่สามารถแสดงความเห็นได้ เนื่องจากยังไม่เห็นในรายละเอียดว่าจะมีอย่างไร และยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะหาแหล่งเงินทุนจากที่ใดมาใช้ในโครงการนี้ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ภาวะการเมืองเริ่มนิ่งแล้ว เชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจก็น่าจะเติบโตประมาณ 4% และธุรกิจอสังหาฯ ก็คงเติบโตตามไปด้วย แต่อาจจะไม่ดีเท่ากับปีที่ผ่านมา เพราะปีนี้มีปัจจัยลบในเรื่องของราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา นายกิตติพล กล่าวอีกว่า ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปีนี้อาจจะลดลง 5-10% การสร้างเสร็จจดทะเบียนใหม่ น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และการเปิดโครงการใหม่อาจจะลดลงจากปีที่ผ่านมา 10% เพราะต้องยอมรับว่าในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ธุรกิจอสังหาฯ เติบโตสูงสุดในรอบหลายปี แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังจะมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดก็คงจะมากขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน แต่ปัจจัยลบก็ยังคงมีในเรื่องของต้นทุนวัสดุก่อสร้างและแรงงานที่ยังขาดแคลน ด้านนายธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยในด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่จะมีเรื่องของการลดหย่อนค่าธรรมเนียมต่างๆ และการซื้อบ้านหลังแรกด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 5 ปีนั้น ถือว่าเป็นนโยบายที่จะกระตุ้นให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เฟื่องฟูขึ้นมากอีกครั้ง เนื่องจากจะทำให้ผู้ที่ไม่มีบ้านซึ่งน่าจะมีจำนวนกว่า 50% ของประชากรไทย เข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อการอยู่อาศัยอย่างมาก ขณะเดียวกันในปีหน้าที่จะเริ่มมีการรับประกันเงินฝากธนาคารวงเงิน 1 ล้านบาทเท่านั้น ก็จะส่งผลให้ผู้ที่มีเงินออมหันมาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นด้วย “อสังหาฯคงเติบโตมากจนประเมินไม่ได้ว่าจะมีเท่าไร หากนโยบายของรัฐบาลสามารถทำได้จริงอย่างที่หาเสียงไว้ จากปกติที่มีการซื้อขายบ้านปีละกว่าแสนล้านบาท แต่ก็คงน่าห่วงว่ารัฐบาลจะหาแหล่งเงินมาจากไหน ที่จะมาใช้ในนโยบายประชานิยมต่างๆ ดังกล่าวไม่เฉพาะแต่ด้านอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท ฐานเงินเดือนระดับปริญญาตรี 15,000 บาท เป็นต้น เฉพาะตอนนี้นโยบายต่างๆ ก็ต้องใช้เงินถึง 2 ล้านล้านบาทแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งคงจะต้องหันมาเก็บภาษีกับนักธุรกิจเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน” นายธำรง กล่าวและว่า ปัจจุบันการเมืองไทยมีความสงบมากขึ้น เพราะมีรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากทำให้มีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ในส่วนผู้ประกอบการเองก็ยังคงต้องรอดูนโยบายของรัฐบาลว่าจะทำได้จริงแค่ไหน กลุ่มนักธุรกิจที่เชื่อว่าจะทำได้จริงก็คงจะมีการลงทุนการพัฒนาโครงการมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ แต่กลุ่มที่ยังไม่มั่นใจคงต้องรอดูสถานการณ์สักระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอสังหาฯ ปัจจุบันก็ยังคงเติบโตได้เป็นปกติ เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยเองก็ยังคงเติบโตไปได้ด้วยดี จากการขยายตัวของภาคการส่งออก กำลังซื้อโดยรวมของคนในประเทศก็ยังดีด้วย แม้ว่าแนวโน้มราคาสินค้าจะปรับขึ้นแต่ก็เป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลกเช่นกัน ขณะที่ราคาบ้านแม้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 5% ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ ตราบใดที่ธนาคารยังคงมีการปล่อยสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,651 10-13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554