บ้าน บ้านเดี่ยว (อังกฤษ: detached house) คือ ที่อยู่อาศัยที่ให้ความอบอุ่นใจแก่ผู้อยู่อาศัย คำว่าบ้านอาจมีความหมายถึงรวมอาคารหรือห้องพักที่ใช้พักอาศัยด้วย หรือ ที่อยู่, บริเวณที่เรือนตั้งอยู่,ถิ่นที่มีมนุษย์อยู่
รวมลิงค์ขายบ้านจาก wikipedia
ขายบ้าน บ้านเดี่ยว (อังกฤษ: detached house) หมายถึง บ้านที่มีอาณาเขตหรือพื้นที่บริเวณรอบ ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ
ขายบ้าน การออกเสียง
ขายบ้าน บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: Land and Houses Public Company Limited)[2] เป็นบริษัทผู้ประกอบธุรกิจหลักเกี่ยวกับการค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2516 โดยคุณเพียงใจ หาญพานิชย์
ขายบ้าน บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) AP (Thailand) Plc. ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โครงการที่พัฒนาประกอบไปด้วย ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม โดยโครงการส่วนมากครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
ขายบ้าน บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: QUALITY HOUSES PUBLIC COMPANY LIMITED ชื่อย่อ:QH)[2] บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทย่อย และบริษัทร่วมดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและให้เช่า รวมทั้งร่วมลงทุนในบริษัทอื่น
ขายบ้าน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (อังกฤษ: SANSIRI PUBLIC COMPANY LIMITED ชื่อย่อ:SIRI)[9] กลุ่มบริษัทแสนสิริมีการประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยโครงสร้างรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทจะมากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย อาทิเช่น โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม
คำอธิบายศัพท์ของบ้าน
บ้านเป็นเหย้าของปุถุชนให้ความรัก ความอบอุ่น ความปลอดภัย เป็นแกนกลางของสมาชิกทั้งหมดในญาติพี่น้องที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความความสุขพร้อมด้วยมีความเกี่ยวข้องที่ดีต่อกัน
วงศ์ญาติ หมายความว่า คณะหนึ่งของเข้าผู้เข้าคน ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปอยู่ร่วมมือบ้านเดียวกัน ให้การเรียนรู้ ฝึกหัดส่งเสีย
ความหมายของถ้อยคำว่า บ้าน ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถานที่ บ้าน นัย บ้าน เครื่องปลูกสร้างเพื่อเป็นที่ที่อยู่ ตัวอย่างเช่น ที่พักพักตากอากาศ บ้านเช่า โรงเรือนหรืออันก่อสร้างสำหรับใช้เป็นที่สถิตซึ่งมีเทวดาบ้านมีกรรมสิทธิ์ พร้อมทั้งรวมถึงถึง แพ หรือ เรือสำเภา ซึ่งหยุดเป็นประจำ
ความสำคัญของครัวเรือน ให้การเรียน สอนสั่งดูแล กระจายเสียงความชำนาญต่างๆพร้อมทั้งสร้างเสริมความชำนาญต่างๆ ให้กับลูกทีมที่สึงอยู่เข้าร่วมกัน ตั้งแต่บังเกิดจนเติบใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ให้ความรัก ความปรานี การใส่ใจ ห่วงหาอาทร ความเอาใจใส่ สร้างความหยั่งถึง วิริยะเข้าใจแจ่มแจ้ง พร้อมกับสร้างลูกทีมในวงศ์ญาติให้มีคุณสมบัติอันพึงปรารถนาที่วงการมุ่งหมาย
ปัญหาญาติโกโหติกา
ความหมายของบ้าน
บ้านเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ให้ความรัก ความอบอุ่น ความปลอดภัย เป็นศูนย์รวมของสมาชิกทุกคนในครอบครัวที่จะใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ครอบครัว หมายถึง หน่วยหนึ่งของสังคม ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ให้การศึกษา อบรมเลี้ยงดู
ความหมายของคำว่า บ้าน ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน บ้าน ความหมาย ที่อยู่อาศัย สิ่งปลูกสร้างสำหรับเป็นที่อาศัย เช่น บ้านพักตากอากาศ บ้านเช่า โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อาศัยซึ่งมีเจ้าบ้านครอบครอง และหมายรวมถึง แพ หรือ เรือ ซึ่งจอดเป็นประจำ
ความสำคัญของครอบครัว ให้การศึกษา อบรมเลี้ยงดู ถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆและสร้างเสริมประสบการณ์ต่างๆ ให้กับสมาชิกที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ตั้งแต่เกิดจนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ให้ความรัก ความเมตตา การเอาใจใส่ ห่วงใย อาทร สร้างความเข้าใจ พยายามเข้าใจ และสร้างสมาชิกในครอบครัวให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่สังคมต้องการ
ปัญหาครอบครัว
ปัญหาครอบครัวหมายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ได้แก่ปัญหาระหว่างสามีภรรยา ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับแม่ พี่กับน้อง พ่อกับลูกหรือแม่กับลูก ปัญหาการติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิกภายในครอบครัว ปัญหาความสัมพันธ์ ความไม่เข้าใจกัน
อาการ
ปัญหาในครอบครัวอาจแสดงอาการออกได้หลากหลายรูปแบบ เช่น บางคนมีความเครียด ปวดหัว ปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า เบื่อหน่ายท้อแท้ชีวิต จนอาจถึงคิดอยากตาย อาจมีการขัดแย้ง ทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ ปัญหาอาจลุกลามใหญ่โต หรือเรื้อรัง จนอาจทำให้สมาชิกครอบครัวเกิดอาการทางจิตเวช หรือป่วยทางจิตเวชกันได้หลายคน เช่น โรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคติดสารเสพติด โรคบุคลิกภาพแปรปรวน ดังนั้นการแก้ไขปัญหาครอบครัวตั้งแต่ต้น จึงช่วยป้องกันปัญหาทางจิตเวช และความเจ็บป่วยทางกายได้
การรักษา
การแก้ไขปัญหาครอบครัว สามารถให้การรักษาได้หลายระดับ ตั้งแต่การให้คำปรึกษาครอบครัว ไปจนถึงการรักษาแบบครอบครัวบำบัด ซึ่งมีหลักการรักษา คือ สมาชิกครอบครัวทุกคนมีส่วนร่วมในการเข้าใจปัญหา หาทางคลี่คลายหรือแก้ไขปัญหาร่วมกัน ช่วยกันปรับเปลี่ยนตนเอง โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ไขก่อน
การรักษาวิธีนี้ แพทย์จะไม่ค้นหาตัวปัญหา หรือ คนผิด ไม่ตัดสินว่าใครผิดถูก การช่วยกันปรับความสัมพันธ์ระหว่างกัน การวางตัวต่อกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน บนพื้นฐานของความรัก ความอบอุ่นความห่วงใย ความปรารถนาดีต่อกัน
ในกรณีที่ความขัดแย้งมีสะสมมานาน การรักษาจะไม่ขุดคุ้ยความขัดแย้งเก่าๆขึ้นมาอีก แต่จะวิเคราะห์เฉพาะปัญหาในปัจจุบัน หากลยุทธ หรือวิธีการใหม่ๆ เพื่อคลี่คลายปัญหาหรือความขัดแย้ง สร้างคุณภาพชีวิตครอบครัวเพื่อให้ทุกคนมีความสุข
การป้องกัน
ครอบครัวที่อบอุ่น เป็นภูมิต้านทานต่อความเจ็บป่วยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคทางกาย โรคทางจิต และ โรคติดสารเสพติด การสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ทำได้ดังนี้
1.มีการติดต่อสื่อสารที่ดี เมื่อมีคนพูด ควรมีคนรับฟัง พยายามทำความเข้าใจกัน บอกความต้องการด้วยความสงบ ไม่ต่อว่า ส่อเสียดคุกคามกัน ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการตำหนิ ว่ากล่าว หรือจี้จุดอ่อนของอีกฝ่ายหนึ่ง
2. มีการเคารพสิทธิส่วนตัวของกันและกัน ในพื้นฐานของกติกาที่ดี ไม่มีการละเมิดสิทธิส่วนตัวซึ่งกันและกัน แต่ละคนอาจมีความคิดเห็นแตกต่างกันได้
3. พ่อแม่ควรมีความร่วมมือกันในการดูแลครอบครัว การแก้ไขปัญหาต่างๆ และปัญหาพฤติกรรมเด็ก
4. การมีเวลาที่มีคุณภาพร่วมกัน แม้เวลาเพียงเล็กน้อย แต่คุณภาพที่ดีจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาครอบครัวที่มีคุณภาพ
บทบาทและหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว
เมื่อเราอยู่ร่วมกันในครอบครัว ทุกคนต่างก็มีบทบาทหน้าที่ที่ต้องทำในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว เช่น หน้าที่ของพ่อแม่ที่มีต่อลูก หน้าที่ของลูกที่มีต่อพ่อแม่ หน้าที่ของพี่ที่มีต่อน้อง เป็นต้น
หน้าที่ของพ่อ
ในฐานะที่พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว พ่อมีหน้าที่สำคัญดังนี้
๑. ทำงานหาเงินมาเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว
๒. อบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี
๓. ดูแลคุ้มครองลูก
๔. ให้การศึกษาเล่าเรียนแก่ลูก
หน้าที่ของแม่
ในฐานะที่แม่เป็นแม่บ้านแม่มีหน้าที่สำคัญดังนี้
ดูแลความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัว ในเรื่องอาหารการกิน ความสะอาดของบ้าน
อบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนดี
ดูแลทุกข์สุขของลูก
ให้ความรัก ความเมตตา และความอบอุ่นแก่ลูก
หน้าที่ของลูก
ในฐานะที่ฉันเป็นลูกฉันมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้
๑. เคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่
๒. ช่วยเหลือรับผิดชอบตนเอง
๓. ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
๔. ตั้งใจเรียนหนังสือ
๕. ประพฤติตนเป็นเด็กดี
หน้าที่ของพี่/น้อง
พี่หรือน้องมีหน้าที่ที่ปฏิบัติต่อกัน ดังนี้
รักใคร่ ห่วงใยซึ่งกันและกัน
มีความสามัคคีกัน ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
คอยตักเตือนกัน ไม่ให้อีกฝ่ายประพฤติตนไม่ดี
สิทธิและเสรีภาพของสมาชิกในครอบครัว
การอยู่ร่วมกันในครอบครัวนอกจากสมาชิกทุกคนจะมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะสมาชิกของครอบครัวแล้ว สมาชิกแต่ละคนยังมีกิจกรรมส่วนตัวที่แตกต่างกัน เช่น กิจกรรมส่วนตัวของแต่ละคนนี้ เป็นกิจกรรมที่สมาชิกมีเสรีภาพในการเลือกกระทำได้ตามความสนใจของตนเอง แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับว่า กิจกรรมส่วนตัวของเรา ต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น
บางเวลาเมื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้มาพบปะกันพร้อมหน้าในโอกาสต่างๆ เช่น ในเทศกาลปีใหม่ ก็จะมีการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น กินข้าวด้วยกัน ไปทำบุญด้วยกัน เป็นต้น ทำให้สมาชิกพูดคุยกัน ซึ่งสมาชิกทุกคนในครอบครัวมีสิทธิเสรีภาพในการพูด ซักถาม หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆได้ และเมื่อมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้น ก็ต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยเหตุผล
สิทธิเด็ก
นักเรียนจำได้หรือไม่ว่า เมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็กๆ ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ใครเป็นผู้ดูแลเรา คอยป้อนข้าว ป้อนนม อาบน้ำให้
เมื่อเราเติบโตขึ้ึนมา สามารถช่วยเหลือตนเองได้บางเรื่อง แต่พ่อแม่ก็ยังต้องคอยดูแลเรา และคุ้มครองป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมาทำร้ายร่างกายเรา
การที่พ่อแม่คอยดูแลเรา ให้ความรัก และให้ความอบอุ่นแก่เรานั้นเป็นไปตามธรรมชาติิ เพราะพ่อแม่ย่อมต้องรักลูกของตนเองแต่บางครั้งก็มีเด็กบางคนที่โชคร้้ายไม่ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่จากพ่อแม่ทำให้เด็กขาดที่พึ่ง และอาจได้รับอันตรายได้
ดังนั้น รัฐจึงมีการรับรองและคุ้มครองสิทธิของเด็ก เพราะเด็กยังอ่อนเยาว์อ่อนแอ ไร้เดียงสา และขาดประสบการณ์ ยังไม่สามารถคุ้มครองตนเองได้เต็มที่จึงอาจถูกทำร้ายหรือถูกทำทารุณได้ง่าย
กฏหมายเกี่ยวกับ การเกิด การตาย
การสร้างสัมพันธภาพและบรรยากาศที่อบอุ่นในครอบครัว เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบันทั้งสังคมชนบทและสังคมเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลง จากสังคมเกษตรมาเป็น สังคมอุตสาหกรรมที่มีผลทำให้สมาชิกแต่ละคนของครอบครัวมีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ มากขึ้นและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวก็มีการเปลี่ยนแปลง ตามไปด้วย ดังนั้นเพื่อให้สมาชิกในครอบครัวมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน สมาชิกในครอบครัวควรรู้ บทบาทหน้าที่การงานและร่วมกันสร้างสัมพันธ์ในครอบครัว โดยปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหา ต่างๆ ในครอบครัว
2. สร้างกิจกรรมฝึกสมาชิกให้เป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
3. ให้สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวได้รับผิดชอบงานในครอบครัวตามความเหมาะสม และหากิจกรรมทำร่วมกัน เป็นการฝึกการช่วยเหลือเอื้ออาทร และมีน้ำใจอันดีต่อกัน ไม่นิ่งดูดาย และเพื่อเรียนรู้อุปนิสัยซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสามัคคีระหว่างสมาชิกในครอบครัวที่ดี
4. ฝึกให้สมาชิกในครอบครัวรู้จักลดและหลีกเลี่ยงการขัดแย้งระหว่างสมาชิก โดยให้ พยายามทำความเข้าใจ และรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน
5. ฝึกให้สมาชิกมีสัมมาคารวะ เคารพนับถือผู้อาวุโส ประพฤติตนให้เหมาะสมกับวัย และกาละเทศะ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และรู้จักเสียสละตามควรแก่โอกาส
การจัดและดูแลรักษาบ้าน
บ้านเป็นสถานที่ให้สมาชิกได้อยู่อาศัย พักผ่อนนอนหลับให้ปลอดภัย ดังนั้นควรจัดและ ดูแลรักษาบ้านให้น่าอยู่
รู้สักนิด! ขายบ้าน ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง?
ในปัจจุบันปัจจัยหลักๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เราหลายๆ คนคิดจะขายบ้านเก่าหรือคอนโดเก่าแล้วไปซื้อบ้านใหม่ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าบ้านเดิมของตัวเองนั้นตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีราคาประเมินสูง อยากย้ายถิ่นฐานทำมาหากิน ต้องการเปลี่ยนที่อยู่ บ้างก็มีเหตุผลที่ว่าการซ่อมบ้านเก่าหรือคอนโดเก่านั้นเป็นตัวเลือกที่ได้ไม่คุ้มเสีย โดยตั้งใจจะขายบ้านเก่าแล้วไปหาซื้อบ้านใหม่เพื่อความสบายใจ ซึ่งหลายคนคาดหวังกับการขายบ้านว่าจะได้เงินมาเป็นทุนในการซื้อบ้านใหม่/คอนโด แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อต้องเจอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการขายบ้านเดิม หรือที่เรียกว่า ภาษีจากการขายบ้าน
ซึ่งนั่นจะทำให้เงินที่ได้จากการขายบ้านลดน้อยลงกว่าที่คาดไว้ และส่งผลให้มีเงินทุนในการซื้อบ้านใหม่น้อยลงกว่าที่คิดไว้ จนต้องยอมควักเนื้อตัวเองมากขึ้น ดังนั้น วันนี้เรามาดูกันสักนิดว่า ภาษีจากการขายบ้าน นั้นมีอะไรกันบ้าง เพื่อที่จะได้เตรียมตัวให้ดี ก่อนคิดที่จะขายบ้าน โดยที่ท่านต้องไม่ลืมว่า ภาระในการเสียภาษีทั้งหมดทั้งมวล ผู้ที่จะต้องรับภาระตามกฏหมายนั้นก็คือผู้ ขาย และหากจะให้ผู้ซื้อรับภาระในการเสียภาษีด้านใดด้านหนึ่ง ก็ควรจะต้องตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนที่จะดำเนินการทางนิติกรรม
1.ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ราคาขายบ้านที่จะนำมาใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหักภาษี ณ ที่จ่าย นั้น โดยจะใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินเป็นเกณฑ์ ซึ่งจะเป็นราคาที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอนนั้น โดยจะไม่คำนึงว่าราคาซื้อขายจริงนั้นจะเป็นเงินเท่าใด เช่น การซื้อขายบ้านหลังนี้ราคาจริงอยู่ที่ 4 ล้านบาท แต่ว่าราคาประเมินอยู่ที่ 5 ล้านบาท ก็ต้องคำนวณภาษีจากราคา 5 ล้านบาท หรือถ้าหากราคาประเมินอยู่ที่ 2 ล้านบาท แต่จะซื้อขายกันในราคา 3 ล้านบาทก็จะคำนวนภาษีจากราคา 2 ล้านบาท
ตารางการหักภาษีตามปีที่ถือครอง | |
จำนวนปีที่ถือครองบ้าน | หักค่าใช้จ่าย (%) |
1 | 92% |
2 | 84% |
3 | 77% |
4 | 71% |
5 | 65% |
6 | 60% |
7 | 55% |
8 ขึ้นไป | 50% |
โดยวิธีนับจำนวนปีถือครองนั้น จะยึดหลักตามปี พ.ศ.ที่ถือครอง ยกตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านวันที่ 10 ธันวาคม 2556 และขายวันที่ 10 มกราคม 2558 เท่ากับจำนวนปีถือครอง 3 ปี ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 77% และสมมติว่าราคาขายบ้านตั้งไว้ที่ 11 ล้านบาท แต่กรมที่ดินประเมินราคาให้ 9 ล้าน เจ้าของบ้านต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หัก ณ ที่จ่ายดังนี้
**เงินได้ตั้งแต่ 500,001 ถึง 1 ล้านบาท จะต้องเสียภาษีในอัตรา 20%
ราคาประเมิน | 9,000,000 บาท |
หัก – ค่าใช้จ่ายเหมา (ถือครอง 3 ปี หักได้ 77%) | 6,930,000 บาท |
คงเหลือ | 2,070,000 บาท |
หาร – ปีที่ถือครอง (2,070,000 ÷ 3) | 690,000 บาท |
คำนวณภาษี -100,000 แรก × 5% -400,000 × 10% -190,000 × 20% |
83,000 บาท |
ภาษี ณ ที่จ่าย (ภาษี × จำนวนปีที่ถือครอง) | 249,000 บาท |
และจากตัวอย่างข้างต้น ก็จะเห็นได้ว่าการคำนวณภาษีจากการขายบ้านจะแตกต่างจากการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประเภทอื่น นั่นก็คือ จะไม่มีการยกเว้นภาษีเงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรก เนื่องจากไม่ใช่การคำนวณเงินได้จากเงินได้สุทธิ ส่งผลให้เงินได้ 100,000 บาทแรกต้องเสียภาษี 5,000 บาท ส่วนเงินได้ตั้งแต่ 200,000 ถึง 500,000 บาท ต้องเสียภาษีที่อัตรา 10%
2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
สำหรับภาษีประเภทนี้จะเป็นภาษีที่จะคิดในกรณีที่บ้านที่เราขายนั้น เราถือครองมาไม่ถึง 5 ปีครับ โดยนับตั้งแต่วันที่รับโอนบ้านมา ซึ่งภาษีธุรกิจเฉพาะนี้จะคิดอยู่ที่อัตรา 3.3% ของราคาขายจริงหรือราคาประเมิน แล้วแต่ว่าราคาไหนสูงกว่ากันก็ให้ใช้ราคานั้นในการคำนวณ
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่กล่าวไปในข้อแรก หากเราขายบ้านในราคา 11 ล้านบาท โดยมีราคาประเมินอยู่ที่ 9 ล้านบาท และเราถือครองบ้านหลังนั้นมา 3 ปี (น้อยกว่า 5 ปี) เราจึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 3.3% โดยคำนวณจากราคาขายจริง (เพราะราคาสูงกว่าราคาประเมิน) ดังนั้น เราจึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 363,000 บาทครับ
ทั้งนี้แล้ว นอกจากเงื่อนไขถือครองบ้านไม่ต่ำกว่า 5 ปีแล้ว ก็ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มเติม ดังนี้ครับ
3. อากรแสตมป์
สำหรับ รายรับจากการขายบ้านหรือที่ดินนั้น ท่านจะต้องเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาประเมิน ซึ่งในกรณีตัวอย่างข้างต้น ต้องเสียค่าอากรแสตมป์ 45,000 บาท (0.5 x 9,000,000) แต่อย่างไรก็ตาม หากมีการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะอยู่แล้ว จะได้รับการยกเว้นการเสียค่าอากรแสตมป์ หรือสรุปได้ว่า เมื่อเราขายบ้าน ก็จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าอากรแสตมป์อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นจะไม่เรียกเก็บทั้ง 2 ประเภท นั่นเองแหล่ะครับ
4. ค่าธรรมเนียมในการโอน
ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมการโอนของกรมที่ดิน จะคิดอยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน ซึ่งในกรณีตัวอย่างข้างต้น เราจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการโอน 180,000 บาท (2 x 9,000,000)
และจาก 4 ข้อที่กล่าวมานั้น รวมแล้วหากเราขายบ้านในราคา 11 ล้านบาท และมีราคาประเมินอยู่ที่ 9 ล้านบาท เราจะต้องจ่าย “ภาษีจากการขายบ้าน” ถึง 792,000 บาท หรือคิดเป็น 7.92% ของราคาขาย (ในกรณีต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ) หรือเสียขั้นต่ำอยู่ที่ 474,000 บาท คิดเป็น 4.74% ของราคาขาย (ในกรณีไม่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จึงต้องเสียค่าอากรแสตมป์) ซึ่งก็นับว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ
ท้ายนี้เมื่อท่านมีความต้องการที่จะขายบ้านหรือคอนโดมิเนียม ก็ควรที่จะศึกษารายละเอียดรวมทั้งคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นออกมาคร่าวๆก่อน เพื่อที่ท่านจะได้ตกลงราคาขายบ้านที่แน่นอนได้ และข้อสำคัญเลย หากท่านติดต่อทำการซื้อขายบ้านผ่านนายหน้า ก็อย่าลืมบวกค่าตอบแทนให้นายหน้าเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะถ้าหากท่านไม่บวกเข้าไปด้วยล่ะก็ ราคาบ้านที่ได้มาอาจจะขาดทุนหนักไปมากกว่าเดิมด้วยนะครับ
ที่มาของข้อมูล http://www.rd.go.th.com/publish/286.0.html
ขอบคุณรูปภาพจาก https://www.facebook.com.com/DSteelFrame